คิดเล็ก ๆ เพื่อบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ : เรื่องราวแรงบันดาลใจจาก Michael Phelps ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

ในโลกของกีฬา มีชื่อ ๆ หนึ่งที่โดดเด่นเหนือคนอื่นๆ นั่นก็คือ Michael Phelps นักว่ายน้ำชาวอเมริกันผู้สร้างปรากฏการณ์คว้าเหรียญทองโอลิมปิกถึง 8 เหรียญในการแข่งขันครั้งเดียว

เรื่องราวของเขาไม่เพียงแต่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนล้ำค่าสำหรับทุกคนที่มุ่งมั่นจะประสบความสำเร็จในชีวิต

เมื่อ Phelps ประกาศเป้าหมายที่จะคว้าเหรียญทองให้ได้ 8 เหรียญ หลายคนในวงการว่ายน้ำมองว่าเป็นความคิดที่เพ้อฝัน แต่สำหรับ Phelps แล้ว นี่คือความท้าทายที่เขาพร้อมจะเผชิญ เขาเชื่อมั่นในตัวเองและกระบวนการฝึกฝนที่จะพาเขาไปถึงจุดนั้น Phelps เข้าใจดีว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลลัพธ์ของการสั่งสมความพยายามทีละเล็กทีละน้อย

ช่วงเวลาระหว่างปี 2002 ถึง 2008 เป็นช่วงแห่งการเรียนรู้และพัฒนาสำหรับ Phelps เขาเริ่มเพิ่มจำนวนรายการแข่งขัน ทั้งประเภทเดี่ยวและทีม ในการแข่งขันระดับนานาชาติที่สำคัญ อย่างเช่น Pan Pacific Championships และ World Championships การเข้าร่วมการแข่งขันเหล่านี้ช่วยให้เขาได้เรียนรู้และปรับตัวกับแรงกดดันในสนามแข่งขันระดับสูง

Phelps ตระหนักดีว่าในกีฬาโอลิมปิก ความสามารถทางกายภาพเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ การจัดการกับความเครียดและแรงกดดันเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน นี่คือเหตุผลที่เขาให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ

การคว้าเหรียญทองเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม แต่สำหรับ Phelps แล้ว เขาต้องรักษาสมาธิและความมุ่งมั่นไว้ตลอดการแข่งขัน แม้จะคว้าเหรียญทองแรกได้สำเร็จและทำลายสถิติโลก เขาก็ไม่ได้หยุดอยู่กับความสำเร็จนั้น แต่กลับมุ่งหน้าสู่การแข่งขันครั้งต่อไปทันที

การดูแลร่างกายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ Phelps เขาให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และการฟื้นฟูร่างกายด้วยวิธีต่างๆ เช่น การแช่ในอ่างน้ำแข็ง การนวด และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญในการสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่

Phelps และทีมงานของเขามองว่าทุกวันคือความท้าทายใหม่และโอกาสในการพัฒนาตัวเอง พวกเขาเปรียบการฝึกซ้อมเหมือนการฝากเงินเข้าธนาคาร เมื่อถึงเวลาแข่งขันสำคัญ พวกเขาสามารถ “ถอน” ผลลัพธ์จากการฝึกฝนที่สั่งสมมาตลอดทั้งปีได้

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง Phelps ก็ยอมรับว่ามีหลายวันที่เขาไม่อยากลุกจากเตียง เขาเชื่อว่าทุกคนต่างก็มีวันที่รู้สึกเช่นนั้น แต่สิ่งสำคัญคือการมีเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและอยากลงมือทำ แม้ในวันที่เราไม่มีแรงจูงใจ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราก้าวไปสู่เป้าหมายใหญ่ได้ง่ายขึ้นในที่สุด

Phelps เชื่อว่าสิ่งที่แยกคนที่ประสบความสำเร็จออกจากคนอื่นๆ คือความสามารถในการทำสิ่งที่พวกเขาไม่อยากทำ แม้แต่ตัว Phelps เองก็ยอมรับว่ามีช่วงเวลาที่เขาเกลียดโค้ชของตัวเอง มีการทะเลาะและโต้เถียงกัน แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้เขาเติบโตและพัฒนา

ดนตรีเป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับ Phelps ตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง “The Sky’s the Limit” ของ Biggie Smalls ที่สอนให้เขาเชื่อว่าไม่มีขีดจำกัดสำหรับสิ่งที่เขาสามารถทำได้ หากเขาเต็มใจที่จะเสียสละและทุ่มเทให้กับมัน

Phelps ยังคงเชื่อในปรัชญานี้จนถึงทุกวันนี้ เขาพยายามท้าทายตัวเองและคนรอบข้างให้คิดนอกกรอบและหาวิธีใหม่ๆ ในการทำสิ่งต่างๆ เพราะเขาเชื่อว่าการทำแบบเดิมซ้ำๆ จะได้ผลลัพธ์แบบเดิม

Phelps เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่มันขึ้นอยู่กับความทุ่มเทและการอุทิศตัว ความสำเร็จไม่ได้มาโดยง่าย มันต้องผ่านความท้าทายและอุปสรรคมากมาย แต่ถ้าคุณมีความฝันที่ชัดเจน มีแรงบันดาลใจ และมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานหนัก ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งคุณได้

ประสบการณ์ของ Phelps เป็นแรงบันดาลใจให้เราเชื่อในตัวเอง ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย และทำงานหนักเพื่อให้ถึงจุดนั้น เพราะในท้ายที่สุด ขีดจำกัดเดียวที่มีอยู่คือขีดจำกัดที่เราสร้างขึ้นมาเอง

เรื่องราวของ Michael Phelps ไม่เพียงแต่เป็นตำนานในวงการกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนล้ำค่าสำหรับทุกคนที่กำลังไล่ตามความฝันของตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสาขาอาชีพใด หลักการเดียวกันนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย การเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ การจัดการกับความเครียดและแรงกดดัน และการไม่ยอมแพ้แม้ในวันที่ยากลำบาก ล้วนเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ

แม้ว่าเราอาจไม่ได้มุ่งหวังที่จะคว้าเหรียญทองโอลิมปิก แต่เราทุกคนมีเป้าหมายและความฝันของตัวเอง บทเรียนจาก Phelps สอนให้เรารู้ว่า ด้วยความมุ่งมั่น การวางแผนที่ดี และการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง เราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองและประสบความสำเร็จได้ในท้ายที่สุด

References :
Michael Phelps – Think Small To Accomplish Big Things
https://youtu.be/Y8ZZS0qrVNw?si=PY6Z8M467Dcwp4kq
https://www.biography.com/athletes/michael-phelp-perfect-body-swimming

Make Bitcoin Great Again : Donald Trump กับภารกิจพลิกโฉมอนาคตวงการคริปโตโลก

ต้องบอกว่าสถานกาณ์ในขณะนี้โลกการเมืองและโลกของเทคโนโลยีได้หลอมรวมกันอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการสนับสนุนอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี

เมื่อไม่นานมานี้ Trump ได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้สนับสนุนบิทคอยน์นับพันคนในงานประชุมประจำปีที่เมือง Nashville โดยเขาได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นว่า หากได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง เขาจะทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็น “มหาอำนาจบิทคอยน์ของโลก”

คำพูดนี้ได้สร้างความตื่นเต้นและความหวังให้กับผู้คนในวงการคริปโตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พวกเขารู้สึกอึดอัดกับการตรวจสอบด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน

Trump ได้กล่าวด้วยความมั่นใจว่า “งานของผมคือการปลดปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเขาที่มีต่ออุตสาหกรรมคริปโต คำพูดนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ฟัง ที่มองว่านี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา

การปรากฏตัวของ Trump ในครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทัศนคติของเขาที่มีต่อคริปโตเคอเรนซี เมื่อเทียบกับเพียงสามปีก่อนที่เขาเคยเรียกบิทคอยน์ว่าเป็น “การหลอกลวง” ที่คุกคามเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดคริปโตด้วย

ทันทีที่ข่าวนี้แพร่สะพัด ราคาของบิทคอยน์ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ โดยแตะระดับ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นช่วงสั้นๆ และเกือบจะทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 73,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันมหาศาลที่การเมืองสามารถมีต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

Shervin Pishevar นักลงทุนร่วมทุนชื่อดัง ได้แสดงความเห็นต่อ Financial Times ว่า “ผมคิดว่า Trump จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่สนับสนุนคริปโตอย่างเต็มที่” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังที่สูงของวงการคริปโตที่มีต่อ Trump และนโยบายที่อาจเกิดขึ้นหากเขาได้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม การที่วงการคริปโตหันมาสนับสนุน Trump อย่างเต็มที่นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมนี้กำลังพยายามฟื้นฟูภาพลักษณ์หลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวของ Sam Bankman-Fried ผู้ก่อตั้ง FTX ที่ถูกจำคุก 25 ปีในข้อหาฉ้อโกงเมื่อต้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีการปราบปรามอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ที่สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ประกอบการในวงการนี้เป็นอย่างมาก

Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz ซึ่งอ้างว่าเป็นนักลงทุนคริปโตรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้แสดงความคิดเห็นว่า คริปโตกำลังเผชิญกับ “การโจมตีอย่างรุนแรง” ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Biden และ Gary Gensler ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) เขากล่าวด้วยความผิดหวังว่า “มันเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดอย่างมากและเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดความคืบหน้าในเรื่องนี้กับทำเนียบขาว”

Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz (CR:Facts.net)
Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz (CR:Facts.net)

ในทางตรงกันข้าม Trump ได้แสดงจุดยืนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยเขาได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และครอบคลุมทั้งหมดสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต เขากล่าวว่า “มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง 180 องศาจากสิ่งที่เราเคยประสบมา” คำพูดนี้สร้างความหวังให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนในวงการคริปโตเป็นอย่างมาก

การปรากฏตัวของ Trump ใน Nashville นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับท่าทีของฝ่ายรัฐบาล Biden โดย Kamala Harris รองประธานาธิบดี ซึ่งเคยอยู่ในการเจรจาขั้นสุดท้ายเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ในงานเดียวกันนี้ แต่กลับตัดสินใจไม่เข้าร่วมในที่สุด การตัดสินใจนี้ถูกมองว่าเป็นการพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับวงการคริปโต

ในขณะเดียวกัน บริษัทชั้นนำในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลก็พร้อมที่จะทุ่มเทสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของ Trump อย่างเต็มที่ เมื่อเดือนที่แล้ว Pishevar ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานระดมทุนให้ Trump ใน Silicon Valley ที่บ้านของนักลงทุน David Sacks โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำในวงการคริปโตเข้าร่วมมากมาย รวมถึงผู้บริหารของ Coinbase และ Tyler และ Cameron Winklevoss ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Gemini

ที่น่าสนใจคือ แต่ละคนได้บริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรูปแบบบิทคอยน์ให้กับการรณรงค์หาเสียงของ Trump นอกจากนี้ Jesse Powell ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต Kraken ก็ได้บริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของอีเธอร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลอีกตัวที่ได้รับความนิยมรองจากบิทคอยน์

การสนับสนุนอย่างล้นหลามจากวงการคริปโตนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในห้องประชุมเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายไปทั่วเมือง Nashville ในช่วงที่มีการจัดงาน ผู้เข้าร่วมงานหลายคนสวมหมวกสีแดงที่มีข้อความว่า “Make Bitcoin Great Again” ซึ่งเป็นการดัดแปลงคำขวัญหาเสียงของ Trump ให้เข้ากับบริบทของคริปโต นอกจากนี้ ยังมีรถ Tesla Cybertruck ที่ติดโฆษณา Bitcoin วิ่งวนรอบสถานที่จัดงาน สร้างสีสันและความตื่นเต้นให้กับผู้คนในพื้นที่

ในสุนทรพจน์ของ Trump เขาได้ให้คำมั่นสัญญามากมายสำหรับอุตสาหกรรมคริปโตของสหรัฐฯ ตั้งแต่การเรียกพวกเขาว่าเป็น “Edison ยุคใหม่” ไปจนถึงการพิจารณาลดโทษให้กับ Ross Ulbricht ผู้ซึ่งถูกจำคุกตลอดชีวิตจากการสร้างตลาดมืดออนไลน์ Silk Road

คำสัญญาเหล่านี้ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสัญญาว่าจะปลด Gary Gensler ออกจากตำแหน่งประธาน SEC ซึ่งเป็นบุคคลที่วงการคริปโตมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม

ภายใต้การดำรงตำแหน่งของ Gensler SEC ได้ดำเนินการทางกฎหมายกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตรายใหญ่หลายราย รวมถึง Binance, Coinbase, Kraken และ Gemini ตลอดจนผู้ให้บริการชำระเงิน Ripple Labs และบริษัทซอฟต์แวร์บล็อกเชน Consensys ในข้อหาละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์

Gary Gensler มีแววที่จะถูกเชือดหาก Trump ได้ขึ้นครองอำนาจ (CR:Jobba)
Gary Gensler มีแววที่จะถูกเชือดหาก Trump ได้ขึ้นครองอำนาจ (CR:Jobba)

การดำเนินการเหล่านี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับวงการคริปโตเป็นอย่างมาก และทำให้พวกเขามองหาทางเลือกใหม่ทางการเมืองที่จะเข้าใจและสนับสนุนอุตสาหกรรมของพวกเขามากขึ้น

Trump ยังให้คำมั่นว่าจะยุติ “การกดขี่” ต่ออุตสาหกรรมคริปโต โดยกล่าวว่ากฎระเบียบควร “เขียนโดยคนที่รักอุตสาหกรรมของคุณ ไม่ใช่คนที่เกลียดอุตสาหกรรมของคุณ” คำพูดนี้ได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องจากผู้เข้าร่วมงาน ที่รู้สึกว่าในที่สุดก็มีนักการเมืองระดับสูงที่เข้าใจความต้องการของพวกเขา

นอกจากนี้ คำสัญญาของ Trump ที่จะสร้าง “คลังสำรองบิทคอยน์แห่งชาติเชิงกลยุทธ์” (strategic national bitcoin stockpile) โดยไม่ขายบิทคอยน์ประมาณ 210,000 เหรียญที่ถูกยึดโดยรัฐบาลกลาง ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้เข้าร่วมการประชุม แนวคิดนี้ถูกมองว่าเป็นการยอมรับถึงความสำคัญของบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ทางยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อนโยบายการเงินและเศรษฐกิจในอนาคต

Fred Thiel ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Marathon Digital Holdings บริษัทขุดคริปโตชั้นนำ กล่าวหลังจากพบกับ Trump ว่า “ผมคิดว่าเขาได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของวงการคริปโตที่มีต่อ Trump และนโยบายที่เขานำเสนอ

อย่างไรก็ตาม การรณรงค์หาเสียงของ Trump ที่สนับสนุนคริปโตนั้นไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น แต่ได้ดำเนินมาหลายเดือนแล้ว เขาได้รับการชำระเงินในรูปแบบคริปโตและกล่าวว่าการรณรงค์หาเสียงของเขาได้รับเงินบริจาคในรูปแบบคริปโตมากกว่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ JD Vance ตัวเลือกรองประธานาธิบดีของเขา ก็ถือครองบิทคอยน์มูลค่าสูงถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตามแบบฟอร์มเปิดเผยข้อมูลทางการเงินปี 2022 สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้การรณรงค์หาเสียงของพรรครีพับลิกันได้รับคำชมเชยเพิ่มเติมจากผู้บริหารในวงการคริปโต

ในขณะเดียวกัน ตลาดคริปโตก็ได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจทางการเมืองมากขึ้นนับตั้งแต่สมัยที่ Sam Bankman-Fried สนับสนุนนักการเมืองรายบุคคล กลุ่มสนับสนุนคริปโต Fairshake ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่ม Super PAC (กลุ่มทำงานด้านการเมืองที่สามาถระดมทุนและใช้จ่ายเงินได้โดยไม่จำกัดจำนวน) ที่ใหญ่ที่สุดในปีนี้ โดยระดมทุนได้เกือบ 203 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการคริปโตหลายแห่ง เช่น Coinbase, Ripple และ Andreessen Horowitz แม้ว่าจะไม่มีแผนที่จะมีส่วนร่วมโดยตรงในการรณรงค์หาเสียงประธานาธิบดี แต่การมีอยู่ของกลุ่มนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของอุตสาหกรรมคริปโตที่จะมีอิทธิพลต่อนโยบายระดับชาติ

ผู้บริหารระดับสูงของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตในสหรัฐฯ รายหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นว่า “ชัดเจนว่า [Trump] คิดมานานแล้วเกี่ยวกับการรักษาอุตสาหกรรมของอเมริกาไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องการค้าหรือการรักษาสิ่งต่างๆ ไว้ในประเทศ ผมสงสัยว่านั่นคือหลักการพื้นฐาน” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของวงการคริปโตที่มีต่อวิสัยทัศน์ของ Trump ในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของ Trump ที่มีต่อคริปโต Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการสนับสนุน Trump ของตลาดที่อาจมองเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น เขาเขียนในบล็อกโพสต์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า การสนับสนุนผู้สมัครที่เป็นมิตรกับคริปโตเพียงเพราะพวกเขาแสดงท่าทีสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสัมพันธ์ที่อาจมองเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง Trump และอุตสาหกรรมคริปโต

Vinod Khosla ผู้ก่อตั้ง Khosla Ventures กล่าวว่า “ความคิดเห็นของ Trump สามารถซื้อได้ดังที่เราเห็น” โดยเสริมว่าผู้บริหารกำลังบริจาคให้กับการรณรงค์หาเสียงของเขาอย่างชัดเจนเพื่อให้ได้รับกฎระเบียบที่ผ่อนคลายลง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถทำกำไรได้มากขึ้น

Sheila Warren ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Crypto Council for Innovation ได้แสดงความคิดเห็นในเชิงวิเคราะห์ว่า การรณรงค์หาเสียงของ Trump “แน่นอนว่าฉลาดมากเมื่อพูดถึงการรู้ว่าใครเป็นผู้ให้การสนับสนุนและรู้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มไหนอาจเป็นประโยชน์” อย่างไรก็ตาม เธอยังเตือนว่า “การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและการเป็นประธานาธิบดีเป็นเรื่องที่แตกต่างกันมาก… สิ่งที่เขาจะทำจริงๆ เมื่อเข้ารับตำแหน่งเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป”

ท่ามกลางความหวังและความกังวล การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Trump และการตอบรับจากวงการคริปโตได้สร้างความตื่นเต้นและการถกเถียงอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในวงการการเงินและเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแวดวงการเมืองด้วย การผสมผสานระหว่างการเมืองและเทคโนโลยีการเงินแบบใหม่นี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

ในขณะที่วงการคริปโตกำลังตื่นเต้นกับวิสัยทัศน์ของ Trump เกี่ยวกับ “มหาอำนาจบิทคอยน์โลก” เราต้องไม่ลืมว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการเงินมักจะมาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดเช่นเดียวกัน

การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการกำกับดูแลที่เหมาะสมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร สิ่งที่แน่นอนคือ บทบาทของคริปโตเคอเรนซีในระบบการเงินและเศรษฐกิจโลกจะยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางต่อไปในอนาคต

References :

  1. Financial Times
  2. Coindesk
  3. Bloomberg
  4. https://www.financemagnates.com/cryptocurrency/make-bitcoin-great-again-crypto-turns-political-as-industry-leaders-bet-on-trump/

ผลสำรวจของฟิลิปส์ชี้ประชาชนส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สนับสนุนสาธารณสุขแบบยั่งยืน และต้องการให้เกิดการนำมาใช้อย่างเร่งด่วน

รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีสุขภาพ เผยผลสำรวจเกี่ยวกับ “สาธารณสุขแบบยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC)” ซึ่งจัดทำโดย Kantar Profiles Network โดยสำรวจความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสำรวจในภูมิภาค 3,040 คน จากประเทศออสเตรเลีย, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย และประเทศไทย

การสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงมุมมองของประชาชนต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในวงการสาธารณสุข และนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดกลยุทธ์ให้กับระบบสุขภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อส่งมอบบริการสุขภาพที่ดีที่สุด ในขณะเดียวกันยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในวงการสาธารณสุขควรได้รับความสำคัญเป็นอันดับต้นๆเกือบ 9 ใน 10 (87%) ของผู้ตอบแบบสำรวจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ 97% ในประเทศไทยตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างผลกระทบของสภาพภูมิอากาศต่อสุขภาพส่วนบุคลล โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลรุ่นใหม่ (71%) และมิลเลนเนียลรุ่นเก่า (65%) โดย 85% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเห็นความสำคัญในการนำแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืนมาใช้ สำหรับประเทศไทย

แม้ว่าส่วนมากจะเห็นความสำคัญต่อสาธารณสุขแบบยั่งยืน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการนำไปใช้จริงยังถือว่าต่ำมาก โดยมีเพียง 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจในไทยเท่านั้นที่เห็นว่ามีการนำสาธารณสุขแบบยั่งยืนมาใช้แล้ว นอกจากนี้ 65% ของผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยระบุว่าการรับมือกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการทิ้งขยะอันตรายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขาเห็นความสำคัญของสาธารณสุขแบบยั่งยืน

ในขณะที่ 59% ของผู้ตอบแบบสำรวจในไทยเห็นว่าสาธารณสุขแบบยั่งยืนจะช่วยให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่ 56% เห็นว่าสาธารณสุขแบบยั่งยืนจะช่วยป้องกันสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และคนที่รักได้

ในกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทย กลุ่มมิลเลเนียลให้ความสำคัญต่อสาธารณสุขแบบยั่งยืนมากที่สุดถึง 70% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มช่วงอายุอื่น ในขณะเดียวกันกว่า 40% ของกลุ่มมิลเลเนียลยังเห็นว่าสาธารณสุขแบบยั่งยืนเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ควรนำมาปฏิบัติอย่างกว้างขวาง ในขณะที่กลุ่มอายุอื่นเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน

เกือบทั้งหมด (93%) ของผู้ตอบแบบสำรวจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเห็นว่าเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืน โดยผลลัพธ์จากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในวงการสาธารณสุขที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ได้แก่ การจัดการทรัพยากรด้านสาธารณสุขได้ดีขึ้นผ่านการใช้งานและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (27%), การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (25%), ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยลดการใช้ทรัพยากรจากการเปลี่ยนเป็นระบบดิจิทัล หรือการใช้โซลูชันคลาวด์ หรือการดูแลรักษาผ่านระบบออนไลน์ (20%)

นายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากผลสำรวจจะเห็นได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพส่วนบุคคลกับสิ่งแวดล้อม และเห็นถึงความสำคัญของนวัตกรรมและการนำแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืนมาใช้ให้เกิดจริง ฟิลิปส์ ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพ เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขสามารถดูแลผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อมของโลกเรา ผ่านการออกแบบ นวัตกรรม และความยั่งยืน ภายใต้แคมเปญ ‘Care Means the World’ เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงความคาดหวังของผู้คนด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืน เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบนิเวศด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และนำไปสู่การดูแลรักษาในอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน” 

ผลสำรวจในประเทศไทยระบุว่า มีความตระหนักถึงแนวทางการดำเนินการแบบหมุนเวียน (Circularity) มากขึ้น ได้แก่ การรีไซเคิล (41%) และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (41%) ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืนที่คนไทยตระหนักถึงมากที่สุด สำหรับการเข้ารับคำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านระบบออนไลน์มีการตระหนักถึงในระดับปานกลาง นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจในไทยยังตระหนักถึงระบบสาธารณสุขแบบหมุนเวียน (37%), ส่งเสริมความรู้เรื่องโรคและการตรวจคัดกรอง (37%) รวมถึงการกำจัดและการจัดการขยะอันตรายอย่างเหมาะสม (36%)

ช่องว่างในการนำสาธารณสุขแบบยั่งยืนมาลงมือปฏิบัติอย่างเร่งด่วน

7 ใน10 หรือ 69% ของผู้ตอบแบบสำรวจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมองว่าแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขแบบยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน แต่มีเพียง 15% เท่านั้นที่ระบุว่ามีการนำสาธารณสุขแบบยั่งยืนมาใช้ในประเทศของตนเป็นวงกว้างแล้ว

ในประเทศไทย อุปสรรคหลักในการนำสาธารณสุขแบบยั่งยืนไปใช้จริง ได้แก่ การเข้าถึงบริการสาธารณสุขแบบยั่งยืน (41%), ต้นทุนที่สูงขึ้น (37%) และขาดแรงจูงใจด้านการเงิน (36%) นอกจากนี้ หลายคนยังกล่าวว่าการนำความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนไปสู่ระบบสาธารณสุขขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อนใช้เวลานาน (34%) และ

พวกเขายังมีความตระหนักน้อยเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเมื่อเปรียบเทียบระหว่างระบบสาธารณสุขแบบเดิมกับแบบยั่งยืน (34%) อุปสรรคอื่นๆ อาทิ กังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลเมื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และความเคยชินในการปฏิบัติแบบเดิมส่งผลต่อการนำแนวทางปฏิบัติแบบใหม่มาใช้ให้เป็นเรื่องยากขึ้น

นอกจากนี้ 60% ของผู้ตอบแบบสำรวจในไทยเลือกที่จะเข้ารับคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบพบหน้า ขณะที่อัตราการรับคำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านทางออนไลน์ในกลุ่มมิลเลเนียล (มากกว่า 40%) สูงกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ สำหรับเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้ตอบแบบสำรวจเลือกรับคำปรึกษาด้านสุขภาพผ่านทางออนไลน์ในทุกกลุ่มอายุ เพราะการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ส่วนเหตุผลหลักในการรับคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบพบหน้าในทุกกลุ่มอายุ คือ การได้รับการตรวจรักษาโดยตรง และการได้พูดคุยแบบตัวต่อตัว

การเข้าถึงตัวเลือกบริการสาธารณสุขแบบยั่งยืนได้มากขึ้น (46%) เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่จะก่อให้เกิดการปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การให้ความรู้ (45%) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดสาธารณสุขแบบยั่งยืน

เนื่องจากผู้ตอบแบบสำรวจต่างเห็นว่าการให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้ให้มากขึ้น จะทำให้พวกเขารู้ว่าหลักปฏิบัติง่ายๆ ใดที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อสนับสนุนสาธารณสุขแบบยั่งยืน และปัจจัยอื่นๆ (44%) จะช่วยให้พวกเขามีความรู้และความเข้าใจที่จำเป็นในการสนับสนุน, ดำเนินการ และการนำแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนมาใช้

ความร่วมมือเป็นอีกกุญแจสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และเพื่อให้แน่ใจว่าการออกแบบนวัตกรรมอย่างยั่งยืนจะช่วยผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขและผู้ป่วยเอง สามารถมีส่วนในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ และเพื่อให้สอดคล้องกับการสนับสนุนแนวทางสาธารณสุขแบบยั่งยืน ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุข บริษัทเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพ รัฐบาล และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจึงควรจะร่วมมือกันในการวางกลยุทธ์ พัฒนาโซลูชัน และบริการที่เหมาะสม

ฟิลิปส์ ร่วมกับผู้ให้บริการสาธารณสุขและพันธมิตรของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืนผ่านโซลูชันส์แบบหมุนเวียน (circular solutions), นวัตกรรม (innovations) และการให้ความรู้ เพื่อให้เกิดการดำเนินงานด้านความยั่งยืน อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Philips’ ESG goals and environmental efforts.

มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ขึ้นรับ 3 รางวัล Marketeer No.1 Brand Award

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นรับ 3 รางวัล Marketeer No.1 Brand Award รางวัลแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค ด้วยสามแบรนด์ใหญ่  แบรนด์โอริโอ เดนทีน และฮอลล์ ตอกย้ำความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจากความมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า และกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ  

โดยแบรนด์โอรีโอ ได้รับรางวัลติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ในหมวดขนมปังกรอบ คุณอรวลัญช์ ลีเผ่าพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตโอริโอ (คนที่สองจากซ้าย) กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ รสชาติอร่อย และสร้างประสบการณ์ที่ดี สนุกสนาน ให้กับผู้บริโภค ดังสโลแกน ‘บิด ชิมครีม จุ่มนม’  การรับรางวัลนี้แสดงถึงความรักและความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของเรา โดยเราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนไทยต่อไป”

สำหรับแบรนด์เดนทีน ที่ได้รับรางวัลติดต่อกันเป็นปีที่ 7 ในหมวดหมากฝรั่ง โดยมี คุณณัชชา ธนรัตน์กิจ รองผู้จัดการผลิตภัณฑ์เดนทีน (คนที่หนึ่งจากซ้าย) เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัล โดยคุณณัชชา กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความไว้วางใจจากผู้บริโภค เดนทีนบริหารงานภายใต้แนวคิด ‘Passion Need Focus, Passion Takes Time’ เราเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ของเราช่วยให้ทุกคนโฟกัสกับแพชชั่นของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น และจะมุ่งมั่นออกนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคต่อไป”

ปิดท้ายด้วยแบรนด์ฮอลล์ โดยมี คุณจุฬารัตน์ โชคดำรงสุข ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ฮอลล์ (คนที่สองจากขวา) เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัล โดยเป็นการรับรางวัลติดต่อกันเป็นปีที่ 9 ในหมวดลูกอม “ฮอลล์มุ่งมั่นพัฒนาภายใต้แบรนด์ purpose ‘Breath for it หายใจแล้วไปต่อ’ ล่าสุดเราเพิ่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘ฮอลล์เคี้ยวหนึบ’ ที่สร้างสีสันทำให้ผู้บริโภคสนุก ผ่อนคลาย และพร้อมที่จะลุยต่อไปด้วยกันกับฮอลล์ และในปีนี้ก็จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาให้ทุกคนติดตามกันอย่างแน่นอน” คุณจุฬารัตน์กล่าว

 คุณไอดารา หวัง กรรมการผู้จัดการใหญ่ (คนที่หนึ่งจากขวา) “ความสำเร็จในครั้งนี้ ไม่เพียงแสดงถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ภายใต้มอนดลีซเท่านั้น แต่เป็นผลลัพธ์ของความมุ่งมั่นในการส่งมอบขนมคุณภาพโดนใจคนไทย โดยเราได้นำอินไซต์ที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค มาปรับใช้กับกลยุทธ์ของเรา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง มอนเดลีซจะยังคงนำเสนอแคมเปญทางการตลาดใหม่ๆ ให้ได้ติดตามกันตลอดทั้งปี เพื่อครองอันดับหนึ่งในใจของคนไทยต่อไป”

อีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ต่างๆ ภายใต้บริษัทมอนเดลีซ ที่อยู่คู่ผู้บริโภคไทยตลอดระยะเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามตามวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ยึดมั่นในการส่งมอบขนมที่ดี มีคุณภาพ ให้คนไทยได้บริโภคอย่างเหมาะสม และสนุกสนานได้อย่างเต็มที่ และในเร็วๆ นี้ แบรนด์ต่างๆ ของเรายังมีโปรเจกต์ทางการตลาดใหม่ๆ เตรียมออกสู่ตลาด เพื่อตอกย้ำการเป็นแบรนด์ที่สร้างประสบการณ์ รอยยิ้มและเป็นอันดับหนึ่งของคนไทยต่อไป 

Geek Daily EP240 : จอมปีศาจ Temu จากเมืองสู่ป่า เดินหน้าบดขยี้ Ecommerce ไทย

เราอาจจะได้ยินคำว่ากลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” คือกลยุทธ์การตีตลาดจากพื้นที่รอบนอกที่มีคู่แข่งน้อย เข้าสู่พื้นที่ภายในเมืองที่มีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แต่ต้องบอกว่า Temu คิดต่าง ไล่ถล่มจากเมืองผ่านคู่แข่งที่โหดหินในตลาดใหญ่ ๆ อย่าง อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี หรือ ในแถบยุโรป ซึ่ง Shopee เคยบุกไปแพ้อย่างราบคาบมาแล้ว ก่อนที่จะบุกป่ามาตะลุยตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทยในที่สุด

การมาถึงของผู้เล่นรายใหม่อย่าง Temu อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้นำตลาดอย่าง Shopee และ Lazada ที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างยาวนาน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/23c3ah6b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yw7xfyy2

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ymjy96nr

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/nLHgj2mQ8VM