สรุปเนื้อหา ทัศนะของ Vinod Khosla ผู้ก่อตั้ง Khosla Ventures กับการแข่งขันด้าน AI ในระดับโลก

Vinod Khosla อีกหนึ่งตำนานนักลงทุนแห่งซิลิคอนวัลเลย์ ผู้ก่อตั้ง Khosla Ventures ได้พูดคุยกับ Emily Chang จาก Bloomberg ที่งาน Bloomberg Tech ในซานฟรานซิสโกเกี่ยวกับการแข่งขันด้าน AI ระดับโลก

Vinod Khosla แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนประธานาธิบดี Joe Biden ศักยภาพของ AI ในด้านสาธารณสุขและการศึกษา การแข่งขันด้าน AI ในระดับโลก และความกังวลในเรื่องอิทธิพลของจีน

Highlights

🎙️ Vinod Khosla ผู้ก่อตั้ง Khosla Ventures ได้ให้สัมภาษณ์กับ Emily Chang จาก Bloomberg โดยมีการส่งสาส์นถึงประธานาธิบดี Joe Biden เรื่องความสำคัญในการป้องกันไม่ให้ Donald Trump กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง

🗳️ Khosla แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่คะแนนเสียงใกล้เคียงกัน และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ทุกคนในสหรัฐฯ จะต้องได้รับการรักษาพยาบาลปฐมภูมิฟรีจากเทคโนโลยี AI

💻 Khosla พูดถึงความสำคัญของการมอบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้กับเด็กทุกคนในสหรัฐฯ เพื่อใช้ในด้านสาธารณสุขและการศึกษา

💡 Khosla พูดถึงศักยภาพของความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของแพทย์และครู AI โดยระบุว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะดีขึ้นเมื่อมีการใช้งานมากขึ้น

🌍 Khosla กล่าวถึงการแข่งขันในการพัฒนา AI โดยมองว่าจีนจะเป็นคู่แข่งหลักของสหรัฐฯ

🌐 Khosla อธิบายว่าแม้จะมีโมเดล AI ที่ครองตลาดระดับโลก แต่ก็จะมีโมเดลระดับภูมิภาคที่โฟกัสไปที่วัฒนธรรมและบริบทของท้องถิ่นนั้น ๆ

📝 Khosla พูดถึงสงครามด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจกับจีน และความสำคัญในการชนะสงครามด้านเศรษฐกิจเพื่ออิทธิพลระดับโลกของสหรัฐฯ

👥 Khosla กล่าวถึงความไม่เห็นด้วยกับ Chris Cox ที่ดำรงตำแหน่ง CPO ของ Meta เกี่ยวกับประเด็นแอปพลิเคชัน TikTok

🏆 Khosla เชื่อว่าจะมีผู้ชนะหลายรายในด้าน Generative AI โดยบริษัทต่างๆ จะโดดเด่นในด้านต่างๆ ที่มีความแตกต่างกัน

📱Khosla คาดการณ์ว่าระบบสั่งการด้วยเสียงด้วย AI จะเปลี่ยนแปลงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์อย่างรุนแรงและสร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมใหม่ๆ

Key Insights

🔑 Vinod Khosla เป็นผู้สนับสนุนประธานาธิบดี Biden อย่างชัดเจนและเน้นย้ำถึงความสำคัญในการป้องกันไม่ให้ Donald Trump กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งเพื่อปกป้องประชาธิปไตยเอาไว้ อย่างไรก็ตามเขาเชื่อว่าทั้งคู่มีคะแนนที่สูสีกัน และมองว่าการสร้างแคมเปญที่เจาะจงในบางรัฐอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อผลการเลือกตั้ง

🔑 Khosla สนับสนุนให้ใช้ AI เพื่อให้บริการรักษาพยาบาลปฐมภูมิฟรีแก่ทุกคนในสหรัฐฯ เพื่อเสริมการทำงานของแพทย์และให้เข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าเด็กทุกคนควรมีคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อด้านสาธารณสุขและการศึกษา

🔑 เมื่อพูดถึงความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของแพทย์และครู AI โดย Khosla ได้เน้นย้ำในเรื่องการเรียนรู้ของระบบ AI เขาเชื่อว่าเมื่อมีการใช้งานมากขึ้น ระบบ AI จะทำงานได้ดีขึ้น และมีศักยภาพที่จะเหนือกว่าแพทย์ระดับกลางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับการกำกับดูแลจากมนุษย์

🔑 Khosla คาดการณ์ว่าจะมีทั้งโมเดล AI ระดับโลกที่ทุกคนจะใช้ และโมเดลระดับภูมิภาคที่โฟกัสเฉพาะของแต่ละประเทศและภาษา เขาเชื่อว่าจะมีผู้ชนะหลายรายในศึกเทคโนโลยี Generative AI และจะเกิดอีกหลากหลายแอปพลิเคชันให้เราได้ใช้กัน

🔑 Khosla แสดงความกังวลเกี่ยวกับการครองความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีของจีนและความจำเป็นที่สหรัฐฯ จะต้องแข่งขัน เขามองว่าสงครามด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจกับจีนมีความสำคัญสูงสุดต่ออิทธิพลระดับโลกของสหรัฐฯ และการเปิดเผยข้อมูลโมเดล AI ระดับสูงอาจเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ

🔑 Khosla เชื่อว่าจะมีผู้เล่นหลายรายในศึกเทคโนโลยี AI และไม่มีบริษัทใดสามารถผูกขาดได้ เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของโมเดลชั้นนำและเรื่องของการประยุกต์ใช้งาน และตัวเขาเองก็ได้ลงทุนในโครงการ AI จำนวนมากเพื่อสำรวจศักยภาพของพวกมัน

🔑 แม้จะมีบางประเด็นที่ไม่เห็นด้วย แต่ Khosla ชื่นชมผลงานของ Elon Musk ในด้านรถยนต์ไฟฟ้าและการสำรวจอวกาศ เขายอมรับว่า Musk มีทั้งการตัดสินใจที่ถูกต้องและผิดพลาด และในขณะที่เขาเชื่อว่า Musk สามารถบรรลุเป้าหมายของเขาในด้าน AI ได้ แต่เขายังไม่แน่ใจในเรื่องรายละเอียดเท่าใดนัก

Opinion

จะเห็นได้ว่าโดยรวมแล้ว Vinod Khosla มีมุมมองที่ค่อนข้างกว้างเกี่ยวกับอนาคตของ AI และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสังคม โดยสิ่งที่เขาเน้นย้ำคือความจำเป็นในการแข่งขันกับประเทศมหาอำนาจอย่างจีนในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ระดับสูง

แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความระมัดระวังในเรื่องความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติหากมีการแชร์ข้อมูลตัวอย่างเช่นกรณี Open Source อย่าง Llama 3 ของ Meta ซึ่งในจีนก็มีการนำมาพัฒนากันอย่างกว้างขวาง

อีกมุมมองที่น่าสนใจก็คือ เขามองเห็นประโยชน์อย่างมากของการนำ AI มาใช้ในด้านสาธารณสุขและการศึกษา โดยคาดหวังว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการและการเข้าถึงสำหรับประชาชนทั่วไป แม้ว่าในช่วงแรกอาจยังมีข้อจำกัดในความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของระบบอยู่บ้าง แต่มันจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ

ท้ายที่สุด Khosla ยังแสดงความเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับบทบาทและศักยภาพของผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่าง Microsoft , Google และ Facebook รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับ Elon Musk ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่าเขาคาดหวังให้มีการแข่งขันอย่างดุเดือดในการพัฒนา AI ระดับสูง แทนที่จะมีผู้เล่นรายเดียวครองตลาดแล้วต้องมานั่งปวดหัวเรื่องการผูกขาดเหมือนบางธุรกิจ เช่น สมาร์ทโฟน หรือ บริการค้นหา แล้วสุดท้ายก็ต้องมาฟ้องร้องกันวุ่นวายอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

Escape From Pretoria กับการเดินทางที่ไม่มีวันหวนกลับของ Elon Musk

หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าตัว อีลอน มัสก์ นั้นได้เติบโตขึ้นในวัยเด็กในประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งประเทศแอฟริกาใต้นี่เองเป็นที่ที่ มัสก์ นั้นได้หล่อหลอมเอาความคิดและนิสัยบางอย่างจากสภาพแวดล้อมรวมถึงวัฒนธรรม ที่สุดท้ายมันได้หล่อหลอมให้กลายเป็น อีลอน มัสก์ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

และหลายท่านอาจจะไม่รู้ว่า นามสกุลของ อีลอน มัสก์ นั้น นับเป็นหนึ่งในนามสกุลที่เก่าแก่ที่สุดนามสกุลนึงเลยก็ว่าได้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งถือได้ว่า มัสก์ นั้นเป็นนามสกุลแรก ๆ ของอังกฤษ หลังจากประเทศอังกฤษได้เริ่มมีการปรับมาให้ใช้นามสกุลเพิ่มจากเดิมที่เหล่าประชากรจะมีแต่เพียงแค่ชื่อเพียงเท่านั้น ซึ่งการเกิดขึ้นของนามสกุลก็เพื่อใช้ในการจัดเก็บภาษีได้สะดวกขึ้นนั่นเอง

ถ้าจะย้อนไปถึงรากเหง้าจริง ๆ ของตระกูล มัสก์ นั้นมีข้อมูลว่าสามารถที่จะติดตามย้อนกลับไปได้ถึง ศตวรรษที่ 18 ต้นตระกูลจริง  ๆ นั้นคือ เฮนรี่ มัสก์ ที่ได้แต่งงานกับ Mary Faulkener ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษและมีลูกๆ  รวมทั้งสิ้น 4 คน และสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาจนถึง อีลอน มัสก์ ในปัจจุบัน

มัสก์ มักจะถูกล้อเสมอ ๆ ในวัยเด็กเพราะชื่อที่แปลกประหลาดอย่าง อีลอน นั้นมีที่มาจากไหนซึ่งชื่อของเขามาจากคุณตาทวดที่ชื่อ จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน ซึ่งคุณตาทวดของมัสก์ นั้น ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มียารักษาในขณะนั้นโดยเสียชีวิตในปี 1909

ภรรยาของ คุณตาทวด จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน คือ  อัลเมด้า ฮัลเดอมัน ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับลูกชาย ซึ่งก็คือคุณตาของมัสก์ โจชัว ฮัลเดอมัน โดยหลังจากสามีได้เสียชีวิตไปก็ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ประเทศแคนาดาด้วยความเชื่อที่ว่าหากเป็นโรคเบาหวานจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากอยู่ในที่ที่หนาวพอซึ่งแคนาดาสามารถตอบสนองสิ่งดังกล่าวได้ดี

ซึ่งต้นแบบหลักของมัสก์ก็น่าจะเป็นคุณตาของเขาอย่าง โจชัว ฮัลเดอมัน นี่เองที่เป็นผู้ชายแหวกแนวที่มีความโดดเด่นอย่างมากซึ่งเป็นต้นแบบที่สำคัญของมัสก์ต่อมา

โจชัว ฮัลเดอมัน คุณตาผู้เป็นต้นแบบนิสัยหลายอย่างของ มัสก์ (CR:Bloomberg)
โจชัว ฮัลเดอมัน คุณตาผู้เป็นต้นแบบนิสัยหลายอย่างของ มัสก์ (CR:Bloomberg)

โจชัว คุณตาของมัสก์ นั้นทำงานได้หลายอย่างและยังมีทักษะในหลาย ๆ เรื่องเช่น การต่อยมวย การเล่นมวยปล้ำ การยิงปืน การไต่เชือก เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายเลยทีเดียวในขณะนั้น 

คุณตา โจชัว ได้แต่งงานกับ วีน ครูสอนในสตูดิโอเต้นรำชาวแคนาดาในปี 1948 โดยมีลูกด้วยกัน 5 คน และสองในห้า นี้เป็นฝาแฝดคือ เคย์ และ เมย์ ซึ่งก็คือแม่บังเกิดเกล้าของอีลอน มัสก์ ในภายหลังนั่นเอง

คุณตา โจชัว เป็นคนโลดโผนและใช้แนวคิดแบบเสรีนิยมในการเลี้ยงลูก ๆ ของเขา เขาชอบขับเครื่องบินในตอนนั้นเขาได้เปิดคลินิกไคโรแพรกติกซึ่งเป็นคลินิกแพทย์ทางเลือกที่มีความนิยมในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก

แต่ในปี 1950 ชีวิตของคุณตา โจชัว และครอบครัวก็ต้องออกผจญภัยอีกครั้งเพราะคุณตาเบื่อกับระบบราชการแคนาดาที่ชอบมาก้าวก่ายชีวิตการทำงานของเขาและนิสัยรักการผจญภัยของเขารวมถึงเขาก็มีแนวคิดที่จะนำเอาคลินิกไคโรแพรกติกไปเผยแพร่ในประเทศอย่างแอฟริกาใต้อีกด้วย เขาจึงพาครอบครัวทั้งหมดออกเดินทางไปแอฟริกาใต้ ที่ๆ พวกเขาไม่เคยไปมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

วีรบุรุษ วินสตัน เชอร์ชิล

สำหรับเมืองในแอฟริกาใต้ ที่ โจชัว ต้องการจะไปอาศัยนั้นเขายังไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกเขาทำการบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเขาสำรวจดูเมืองต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาใต้ จนสุดท้ายมาปักหลักอยู่ที่เมือง พริทอเรีย นอกกรุงโจฮันเนสเบิร์ก 

ถ้าเปรียบเทียบชีวิตของอีลอน มัสก์ ตอนเด็กสมัยที่อาศัยอยู่ในเมือง พริทอเรีย ของแอฟริกาใต้ เขาแทบดูจะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองนี้เลยด้วยซ้ำอาจจะกล่าวได้ว่าเมืองแห่งนี้มันเหมือนคุกสำหรับกักขัง อีลอน มัสก์ ให้เขาแทบจะต้องเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่เมืองแห่งนี้มันได้หล่อหลอมนิสัยบางอย่างของเขาซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายนั่นคือนิสัยรักการอ่าน

อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษอย่าง วินสตัน เชอร์ชิล  เมื่อเขาหันเหชีวิตเข้าสู่การเมืองครั้งแรกเขาลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ทั้งนี้เชอร์ชิลเพิ่งมีอายุ 25 ปี และไม่มีใครรู้จัก เขาจึงได้หันกลับมาสู่ปืนและปากกาอีกครั้งหนึ่ง ในปีนั้นเองสงครามบัวร์ได้เริ่มปะทุขึ้น สงครามดังกล่าวเป็นการรบระหว่างกองทัพอังกฤษและชาวดัตช์ผู้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแอฟริกาใต้

ฉนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบแหล่งแร่มีค่า เช่น ทองคำและเพชร รัฐบาลอังกฤษจึงได้มีความคิดที่จะเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว เขามองเห็นช่องทางในการที่จะทำในสิ่งที่ตนรักคือการเขียนหนังสือ เขาจึงตกลงกับหนังสือพิมพ์ Morning Post เพื่อที่จะติดตามข่าวเรื่องนี้โดยเขาได้นั่งรถไฟไปกับกองทหารอังกฤษแต่ขบวนรถไฟดังกล่าวถูกโจมตีอย่างหนักจากทหารชาวบัวร์

เมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้เขาก็ได้สร้างวีรกรรมคือรับอาสาฝ่ากระสุนปืนของพวกบัวร์ไปเคลื่อนย้ายตู้รถไฟที่ขวางทางอยู่ ทำให้ขบวนรถที่เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บสามารถผ่านออกจากสนามรบไปได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดีทหารอังกฤษอีก 52 นาย รวมทั้งตัวเขาเองถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด

เขาถูกคุมขังประมาณ 1 เดือนด้วยความอัดอั้นตันใจแม้เขาจะไม่ได้ถูกทรมานใดๆ แต่การต้องมาทนอยู่เฉยๆ เป็นเหมือนการทำให้เขาเสียเวลาในการแสวงหาชื่อเสียงไปโดยเปล่าโดยที่เขายังไม่รู้ว่าขณะเดียวกันนั้นหนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวถึงเขาและคนอังกฤษกำลังสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองให้แก่วีรบุรษเชอร์ชิลผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการคุมขัง

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1899 เขาได้หลบหนีออกมาจากที่คุมขัง ท่ามกลางกองกำลังพลของทหารชาวบัวร์จำนวนมากมายมหาศาล เขาสามารถหนีกลับมาที่กองทัพอังกฤษได้อย่างปลอดภัย และเมื่อกองทหารอังกฤษบุกเข้ายึดกรุงพริทอเรีย เชอร์ชิลก็ได้เป็นผู้ขี่ม้านำหน้าใครๆ เข้าไปฉีกธงของพวกบัวร์ที่ปักไว้หน้าคุกที่เคยกักขังเขาไว้ทิ้ง

เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ (CR:All About History)
เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ (CR:All About History)

หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษ และได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่โตในฐานะวีรบุรุษของชาติ เขาได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งและประสบความสำเร็จ โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎรนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตบนเส้นทางการเมืองอันยาวนานและยิ่งใหญ่ของเขานั่นเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้วเส้นทางชีวิตของ วินสตัน เชอร์ชิล ในเมืองพริทอเรียมันก็แทบจะคล้ายกับ อีลอน มัสก์ ประสบพบเจอตอนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพริทอเรียแห่งแอฟริกาใต้

ในวัย 6 ขวบ ในงานปาร์ตี้ครั้งนึงที่บ้านของญาติเขาในเมือง พริทอเรีย ด้วยความที่ มัสก์ นั้นได้ถูกห้ามจากแม่ของเขาไม่ให้ไปงานปาร์ตี้ที่บ้านญาติของเขา

เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวเขาจึงได้วางแผนที่จะหนีไปจากบ้านเพื่อไปยังงานปาร์ตี้ ซึ่งความคิดแรกของ มัสก์นั้นเขาก็อยากที่จะปั่นจักรยานไปแทนที่จะเดินซึ่งเป็นระยะทางที่ยาวไกล 

แต่ เมย์ แม่ของมัสก์ ได้หลอกกับเขาว่าการที่จะขับรถจักรยานได้นั้นต้องมีใบขับขี่และตำรวจจะจับหากยังดื้อด้านที่จะขับรถจักรยานออกไปข้างนอกซึ่ง มัสก์ นั้นมีทางเลือกเดียวที่ต้องเดินข้ามเมือง พริทอเรีย ที่ต้องใช้ระยะทางกว่า 10 ไมล์ ( 16 km) เพื่อไปยังที่จัดงานปาร์ตี้

มันเป็นเส้นทางเดียวกับที่ เชอร์ชิล หนีออกจากคุก ซึ่งเชอร์ชิล นั้นได้แต่เฝ้ามองทิศผ่านดวงดาวเพื่อหนีออกไปจาก พริทอเรีย ให้ได้แต่มัสก์เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ที่ตอนนั้นถือได้ว่าเป็นนักอ่านตัวยง

มัสก์ ได้อ่านสัญญาณจราจรบนถนนเพื่อเดินทางไปยังปาร์ตี้ให้ได้ เขาเดินผ่านตึกยุคโบราณที่มีอยู่เต็มเมืองพริทอเรีย ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 4 ชม. กว่าจะถึงสถานที่จัดงานปาร์ตี้ดังกล่าว

และมันเป็นจังหวะที่ เมย์ แม่ของเขาเห็นเข้าพอดีซึ่งมัสก์นั้นไม่ได้รับอนุญาติให้มางานดังกล่าว ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนั้นคือ หนี!!! และมัสก์ ก็หนีโดยการปีนต้นไม้ขึ้นไปอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นทางเลือกที่หนูน้อยมัสก์คิดออก ณ ขณะนั้น 

เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์ (CR:Reddit)
เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์ (CR:Reddit)

มัสก์ อยู่บนต้นไม้ไม่ยอมลงมาจนแม่เขาต้องสัญญาว่าจะไม่ทำโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาลงมาพร้อมความรู้สึกเบื่อหน่ายและต้องกลับบ้านเหมือนที่เขาต้องทำทุก ๆ ครั้ง เพราะที่พริทอเรียมันคือคุกดี ๆ สำหรับมัสก์นั่นเอง

ที่ พริทอเรีย มัสก์ แทบจะไม่มีเพื่อน เวลาส่วนใหญ่ในการใช้ชีวิตที่แอฟริกาใต้ คือ เล่นกับลูกพี่ลูกน้องของเขา หรือ อ่านหนังสือ หรือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำก็คือการดูทีวีเพราะเขาเกลียดรายการทีวีที่นี่เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มัสก์มีนิสัยเบื่อง่ายเป็นอย่างมาก

นักอ่านตัวยง

แต่สิ่งนึงที่เขาชอบที่สุด ก็คือ การอ่านหนังสือ มัสก์อ่านทุกอย่างที่อ่านได้เพื่อเป็นการแก้เบื่อของเขาในการใช้ชีวิตที่นี่ เขาสามารถใช้เวลากับหนังสือเล่มโปรดกว่า 10 ชม.ต่อวัน เขาอ่านหนังสือได้มากมาย บางครั้งสามารถอ่านหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ได้ 2 เล่มภายในวันเดียวเลยด้วยซ้ำ

เขามักจะไปฝังตัวอยู่ที่ร้านหนังสือเป็นประจำ มันเหมือนโลกทั้งใบของเขาคือโลกของการอ่านหนังสือนี่เอง  บางครั้งการไปฝังตัวที่ร้านหนังสือของเขานานจนเจ้าของร้านต้องมาไล่ให้เขากลับบ้าน แม้กระทั่งยามที่ทานอาหารมือค่ำหากมีอาหารที่ไม่น่าสนใจนักเขาก็มักจะพกหนังสือมานั่งอ่านบนโต๊ะอาหารด้วย

หนังสือที่เขาชอบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของฮีโร่ที่มากอบกู้โลกหรือหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย มีหลาย ๆ เล่มที่น่าสนใจ มัสก์ ได้อ่านมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings by J.R.R Tolkien , everything by Jules Verne , the Foundation Series by Isaac Asimov หรือ everything by Robert Heinlein และอีกมากมาย

หนังสืออย่าง everything by Jules Verne นั้นทำให้ มัสก์ สนใจเรื่องฟิสิกส์รวมถึงเรื่องของสิ่งที่เป็นอนาคต เช่น เรือดำน้ำ , ยานอวกาศ  การเดินทางไปในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วเป็นที่มาในความสนใจของเขาที่สุดท้ายแล้วมาสร้างบริษัท SpaceX แทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งหลายปีต่อมาเขาก็ชอบอ่านประวัติบุคคลสำคัญไม่ว่าจะเป็น Benjamin Franklin หรือแม่กระทั่งประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ เขาก็สนใจเรื่องจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเหล่านี้

การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนสนใจซึ่งมัสก์เองก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป เขาไล่อ่านการ์ตูนหลาย  ๆ เรื่องตั้งแต่ Batman ไปจนถึง Iron Man ซึ่งสุดท้ายหลายๆ สื่อได้ยกเขาเปรียบเสมือน Iron Man ในโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งหลังจากอ่านการ์ตูนจนไม่มีอะไรจะให้เขาอ่านแล้วนั้น เขาก็เริ่มสนใจไปอ่านหนังสืออย่าง Encyclopedia Britannica ซึ่งแม่ของเขายังตกใจว่า มัสก์ นั้นสามารถจดจำเนื้อหาส่วนใหญ่ของ encyclopedia หลังจากอ่านจบ พี่สาวของเขาทอสก้าได้ให้ฉายากับมัสก์ว่า “genius boy” เพราะทึ่งในความสามารถในการจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของมัสก์

ครูของมัสก์นั้นก็คิดไม่ต่างจากพี่สาวของเขา  แม้มัสก์จะเป็นคนเงียบแต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และเป็นคนที่รักคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก

แต่ตัวมัสก์เองนั้นก็ไม่ได้เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเสียทีเดียว เพราะเขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเขานั้นฉลาดกว่าใครเพื่อน และความฉลาดของเขานั้น เขาก็ต้องการจะช่วยเพื่อน ๆ ด้วย แต่ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ จะไม่ค่อยเข้าใจกับความหวังดีของมัสก์ในลักษณะนี้มันทำให้เขาดูแปลกในสายตาเพื่อน ๆ ตั้งแต่เด็ก

เขาไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนสักเท่าไหร่มักจะไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนเสียมากกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ ต่างเล่นสนุกกันซึ่งนิสัยเหล่านี้นั้น จะเห็นได้ว่าจะคล้ายกับเหล่านักธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ็อบส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

มันเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้ลำบากมาก ๆ สำหรับเด็กน้อยยอดอัจฉริยะอย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งชีวิตในวัยเด็กก็ส่งผลสำคัญต่อมัสก์เป็นอย่างมาก มันเป็นชีวิตที่น่าเบื่อของเขามาก ๆ กับการใช้ชีวิตในแอฟริกาเขามักถูกรังแกจากเพื่อนร่วมชั้นอยู่เสมอ แต่มันไม่มีทางเลือกสำหรับเด็กที่ต้องตื่นเช้าและไปโรงเรียนเขาเกลียดชีวิตในวัยเด็กของตัวเองเป็นอย่างมาก

และมันได้ส่งผลต่อชีวิตในครอบครัวของเขา การที่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมากบางครั้งทำให้ไม่ค่อยเชื่อฟังสิ่งที่พ่อแม่พูด เขามักจะถามหาเหตุผลในทุก ๆ เรื่อง คำว่า Why? นั้นคือประโยคที่เขามักพูดกับแม่เขาบ่อย ๆ เพราะเขาเป็นคนที่รู้เยอะมากจากการอ่าน บางครั้งหากพ่อแม่สอนอะไรผิด ๆ เขาก็มักจะสวนกลับไปทันทีและไม่มีท่าทีรดราวาศอกเขาจะเถียงจนกว่าแม่เขาจะยอมแพ้ไปเท่านั้น

มัสก์ในวัยเด็กที่เมืองพริทอเรีย (CR:ilovetesla)
มัสก์ในวัยเด็กที่เมืองพริทอเรีย (CR:ilovetesla)

สู่โลกคอมพิวเตอร์

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มัสก์ คือ การได้พบเจอกับโลกใหม่คือคอมพิวเตอร์ เขาได้พยายามสะสมเงินเพื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเครื่องแรกของเขาอย่าง Commodore VIC-20 ซึ่งแน่นอนสำหรับเด็ก ๆ มันใช้สำหรับเล่นเกมส์นั่นเอง

มัสก์ต้องการสร้างเกมส์ของตัวเอง เขาจึงได้พยายามเรียนรู้ที่จะทำการฝึกเขียนโปรแกรม เขาจึงได้ไปลงเรียนในคลาส computer programming ซึ่งในปี 1983 ในขณะที่เขาอายุได้ 12 ปีนั้น เขาสามารถสร้างเกมส์และขายไปยังนิตยสารที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ถึง 500 เหรียญ เขาติดต่อผา่น mail ง่าย ๆ ไปยังนิตยสารเพื่อต้องการขายเกมส์ที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่งเกมส์แรกที่เขาสร้างขึ้นคือ “Blaster” 

เป็นการเอาแนวคิดเกมส์อาเขต ที่เขาชอบอย่าง Asteroids และ Space Invaders มารวมร่างกันซึ่งจากผลงานชิ้นแรก นั้นทำให้เขาเป็นที่ยอมรับจากนิตยสาร เขาก็สามารถสร้างเกมส์อื่น ๆ ขายได้อีกในภายหลัง

ตอนอายุได้ 17 ปี มัสก์ ต้องการที่จะออกจากแอฟริกาไปยังแคนาดา หนึ่งในเหตุผลหลักคือเขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปเกณฑ์ทหาร มัสก์นั้นอยากเข้าเรียนมหาลัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

เขาต้องการหนีจากแอฟริกาใต้มานานมากแล้ว ที่นี่เปรียบไปก็ไม่ต่างจากคุกสำหรับคนอย่างเขา ความหลงไหลในคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาเป็นแรกผลักให้เขาต้องออกจากแอฟริกา แคนาดานั้นเป็นแค่ที่พักชั่วคราวเท่านั้นเพราะเขามีบรรพบุรุษเป็นชาวแคนาดา 

เขาเริ่มเติบโตขึ้นอีกขั้น เขาเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมที่จะไปแสวงโชคที่ดินแดนแห่งเสรีภาพ เป้าหมายอันแรงกล้าของเขาคือ  ซิลิกอน วัลเลย์ สถานที่บ่มเพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่ มันชัดเจนว่าเขามีจิตวิญญาณที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ได้ บวกกับความฉลาดเป็นกรด เขาแค่ต้องเรียนให้จบมหาลัยเท่านั้น และตั๋วเดินทางไปแคนาดามันพร้อมแล้วซึ่งมันจะเป็นการเดินทางจากบ้านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับสำหรับชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์ ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future เขียนโดย Ashlee Vance
หนังสือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus
หนังสือ จากรถยนต์ไฟฟ้า Tesla สู่อาณาจักรนิคมบนดาวอังคาร เรื่องราวชีวิตของผู้ประกอบการที่อาจหาญที่สุดในยุคของเรา!
ผู้เขียน Ashley Vance (แอชลี แวนซ์)
ผู้แปล จินดารัตน์
https://www.ndtv.com/offbeat/at-17-elon-musk-had-to-be-retested-for-computer-aptitude-because-2382598

โบลท์ (Bolt) เผยเทรนด์การไม่เป็นเจ้าของ ของคนรุ่นใหม่ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น

โบลท์ (Bolt) เผยเทรนด์การไม่เป็นเจ้าของ ของคนรุ่นใหม่ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องรายงานสถิติผู้ใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันโบลท์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในไทยหลังเปิดตัว

คุณ ณัฐดนย์ สุขศิริฐานันท์ ผู้จัดการประจำโบลท์ ประเทศไทย เผยเทรนด์คนรุ่นใหม่ใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันมากขึ้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลสถิติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โบลท์มีการขยายช่วงระยะทางในการวิ่งงานเพิ่มมากขึ้นกว่า 19% ในขณะที่การเรียกใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 600%

และเมื่อนับจากช่วงเวลาที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยครั้งแรก ยอดจำนวนผู้ใช้บริการแอปพลิเคชันโบลท์มีเพิ่มมากขึ้นถึง 800% การให้บริการโดยยานพาหนะ 4 ล้อที่ใช้งานบนโบลท์เพิ่มขึ้น 9.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี

จากผลการสำรวจต่างๆ เผยให้เห็นว่าเหตุผลที่คนทั่วโลกหันมานิยมใช้รถผ่านบริการแอปมากขึ้น สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของคนในแต่ละรุ่นอย่างชัดเจน คนยุค Baby Boomer มีมุมมองการเป็นเจ้าของบ้านหรือรถเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เพราะเปรียบเสมือนเครื่องยืนยันการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่แบบเต็มตัว 

ปัจจุบัน ทัศนคติเหล่านี้ได้เปลี่ยนไป หลังจากยุคของกลุ่ม Gen X ที่ใช้จ่ายเสริมสถานะของตัวเอง โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของเหล่าดารา คนกลุ่ม millennials ให้ความสำคัญกับการซื้อประสบการณ์ มากกว่าสิ่งของ ในขณะที่กลุ่ม Gen Z มองการใช้จ่ายเป็นการแสดงออกถึงตัวตน

การที่คนรุ่นใหม่มีมุมมองที่แตกต่างออกไป เนื่องจากปัจจัยกดดันอันหลากหลายในปัจจุบัน ทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบัน เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่าอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น หนี้การศึกษา และอิทธิพลของสมาร์ตโฟน เทรนด์การไม่เป็นเจ้าของจึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในอสังหาริมทรัพย์ ความสำเร็จของบริการยานพาหนะ (ride-hailing) บริการสตรีมวิดีโอ เพลง หรือบริการแบบสมัครสมาชิกอื่นๆ

ล้วนแต่ตอกย้ำคนรุ่นใหม่ว่าให้คุณค่าและความสำคัญกับการเข้าถึงบริการหรือสินค้าตามความต้องการของผู้บริโภคบนโลกดิจิทัล มากกว่าการเป็นเจ้าของสิ่งที่จับต้องได้

การสำรวจล่าสุดในปี 2023 ที่จัดทำโดย Mckinsey เปิดเผยว่าผู้ที่มีอายุเกิน 45 ปีใช้ยานพาหนะส่วนตัวโดยเฉลี่ยสี่ครั้งต่อสัปดาห์ เทียบเป็น 49% ของผู้ที่มีอายุ 30-45 ปี และ 42% ของผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี 

นอกจากนี้ การขยายตัวของสังคมเมือง การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร และการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยอยู่ในตัวเมือง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ความต้องการต่อรูปแบบของระบบขนส่งสาธารณะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จากการคาดการณ์ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่าภายในปี 2593 ประชากรโลก 68% จะอาศัยอยู่ในเขตเมือง เทียบกับ 55% ในปี 2561

ส่งผลให้เกิดความแออัดของการจราจร ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น พื้นที่จำกัด และปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยมลพิษที่สูงขึ้น ทำให้ผู้คนเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวหันมาพิจารณาทางเลือกอื่นในการเดินทางอย่างระบบขนส่งสาธารณะ หรือแอปเรียกรถมากขึ้น

และผลการสำรวจของ โบลท์ โกลบอล ที่จัดทำโดย Oliver Wyman ระบุว่าการใช้ยานพาหนะที่ใช้ร่วมกันเป็นวิธีการเดินทางที่ประหยัดกว่าสำหรับผู้ที่เดินทางในระยะทางไม่เกิน 15,000 กิโลเมตรต่อปี ข้อมูลนี้เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่ารถยนต์ในยุโรปโดยทั่วไปมีอัตราการวิ่งอยู่ที่ 11,000 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งลดลง 1,700 กิโลเมตรเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเข้าถึงบริการดิจิทัลมากกว่าการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ทำให้มุมมองการมีรถยนต์ส่วนตัวเปลี่ยนไปจากทรัพย์สินที่มีไว้ในครอบครอง กลายเป็นสาธารณูปโภคที่สามารถเข้าถึงได้ หันมาใช้แอปพลิเคชันเรียกยานพาหนะ บริการเช่ารถแบบ car-sharing ยานพาหนะขนาดเล็ก และขนส่งสาธารณะ ช่วยลดค่าใช้จ่าย และมลภาวะ

โบลท์ ในฐานะบริษัทที่ให้บริการเรียกรถระดับโลก ตระหนักถึงความสำคัญและพร้อมปรับตัวรับเทรนด์ดังกล่าว เราเชื่อมั่นในการส่งเสริมเครือข่ายการขนส่งสาธารณะที่มีอยู่อย่างไร้รอยต่อ และบริการแบ่งปันยานพาหนะ จะเป็นหนทางหลักในการเดินทางของผู้คนในอนาคต

มุ่งมั่นการส่งมอบบริการให้ดียิ่งขึ้น ครอบคลุมกว่าเดิม มอบทางเลือกการเดินทางที่สะดวก สบาย หลากหลายและเข้าถึงได้ง่าย ทั้งในเรื่องของราคา ความรวดเร็ว ความปลอดภัย อีกทั้งยังส่งเสริมในเรื่องความยั่งยืน การลดมลภาวะ และสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่แออัดของคนในยุคปัจจุบันด้วย