Vinod Khosla แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนประธานาธิบดี Joe Biden ศักยภาพของ AI ในด้านสาธารณสุขและการศึกษา การแข่งขันด้าน AI ในระดับโลก และความกังวลในเรื่องอิทธิพลของจีน
Highlights
🎙️ Vinod Khosla ผู้ก่อตั้ง Khosla Ventures ได้ให้สัมภาษณ์กับ Emily Chang จาก Bloomberg โดยมีการส่งสาส์นถึงประธานาธิบดี Joe Biden เรื่องความสำคัญในการป้องกันไม่ให้ Donald Trump กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง
🗳️ Khosla แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่คะแนนเสียงใกล้เคียงกัน และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ทุกคนในสหรัฐฯ จะต้องได้รับการรักษาพยาบาลปฐมภูมิฟรีจากเทคโนโลยี AI
🔑 Khosla สนับสนุนให้ใช้ AI เพื่อให้บริการรักษาพยาบาลปฐมภูมิฟรีแก่ทุกคนในสหรัฐฯ เพื่อเสริมการทำงานของแพทย์และให้เข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าเด็กทุกคนควรมีคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อด้านสาธารณสุขและการศึกษา
🔑 เมื่อพูดถึงความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของแพทย์และครู AI โดย Khosla ได้เน้นย้ำในเรื่องการเรียนรู้ของระบบ AI เขาเชื่อว่าเมื่อมีการใช้งานมากขึ้น ระบบ AI จะทำงานได้ดีขึ้น และมีศักยภาพที่จะเหนือกว่าแพทย์ระดับกลางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับการกำกับดูแลจากมนุษย์
🔑 Khosla คาดการณ์ว่าจะมีทั้งโมเดล AI ระดับโลกที่ทุกคนจะใช้ และโมเดลระดับภูมิภาคที่โฟกัสเฉพาะของแต่ละประเทศและภาษา เขาเชื่อว่าจะมีผู้ชนะหลายรายในศึกเทคโนโลยี Generative AI และจะเกิดอีกหลากหลายแอปพลิเคชันให้เราได้ใช้กัน
🔑 Khosla แสดงความกังวลเกี่ยวกับการครองความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีของจีนและความจำเป็นที่สหรัฐฯ จะต้องแข่งขัน เขามองว่าสงครามด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจกับจีนมีความสำคัญสูงสุดต่ออิทธิพลระดับโลกของสหรัฐฯ และการเปิดเผยข้อมูลโมเดล AI ระดับสูงอาจเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ
🔑 Khosla เชื่อว่าจะมีผู้เล่นหลายรายในศึกเทคโนโลยี AI และไม่มีบริษัทใดสามารถผูกขาดได้ เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของโมเดลชั้นนำและเรื่องของการประยุกต์ใช้งาน และตัวเขาเองก็ได้ลงทุนในโครงการ AI จำนวนมากเพื่อสำรวจศักยภาพของพวกมัน
จะเห็นได้ว่าโดยรวมแล้ว Vinod Khosla มีมุมมองที่ค่อนข้างกว้างเกี่ยวกับอนาคตของ AI และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสังคม โดยสิ่งที่เขาเน้นย้ำคือความจำเป็นในการแข่งขันกับประเทศมหาอำนาจอย่างจีนในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ระดับสูง
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความระมัดระวังในเรื่องความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติหากมีการแชร์ข้อมูลตัวอย่างเช่นกรณี Open Source อย่าง Llama 3 ของ Meta ซึ่งในจีนก็มีการนำมาพัฒนากันอย่างกว้างขวาง
อีกมุมมองที่น่าสนใจก็คือ เขามองเห็นประโยชน์อย่างมากของการนำ AI มาใช้ในด้านสาธารณสุขและการศึกษา โดยคาดหวังว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการและการเข้าถึงสำหรับประชาชนทั่วไป แม้ว่าในช่วงแรกอาจยังมีข้อจำกัดในความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของระบบอยู่บ้าง แต่มันจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ
ท้ายที่สุด Khosla ยังแสดงความเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับบทบาทและศักยภาพของผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่าง Microsoft , Google และ Facebook รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับ Elon Musk ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่าเขาคาดหวังให้มีการแข่งขันอย่างดุเดือดในการพัฒนา AI ระดับสูง แทนที่จะมีผู้เล่นรายเดียวครองตลาดแล้วต้องมานั่งปวดหัวเรื่องการผูกขาดเหมือนบางธุรกิจ เช่น สมาร์ทโฟน หรือ บริการค้นหา แล้วสุดท้ายก็ต้องมาฟ้องร้องกันวุ่นวายอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม
หนังสือที่เขาชอบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของฮีโร่ที่มากอบกู้โลกหรือหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย มีหลาย ๆ เล่มที่น่าสนใจ มัสก์ ได้อ่านมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings by J.R.R Tolkien , everything by Jules Verne , the Foundation Series by Isaac Asimov หรือ everything by Robert Heinlein และอีกมากมาย
ซึ่งหลายปีต่อมาเขาก็ชอบอ่านประวัติบุคคลสำคัญไม่ว่าจะเป็น Benjamin Franklin หรือแม่กระทั่งประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ เขาก็สนใจเรื่องจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเหล่านี้
การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนสนใจซึ่งมัสก์เองก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป เขาไล่อ่านการ์ตูนหลาย ๆ เรื่องตั้งแต่ Batman ไปจนถึง Iron Man ซึ่งสุดท้ายหลายๆ สื่อได้ยกเขาเปรียบเสมือน Iron Man ในโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ
References : หนังสือ Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future เขียนโดย Ashlee Vance หนังสือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus หนังสือ จากรถยนต์ไฟฟ้า Tesla สู่อาณาจักรนิคมบนดาวอังคาร เรื่องราวชีวิตของผู้ประกอบการที่อาจหาญที่สุดในยุคของเรา! ผู้เขียน Ashley Vance (แอชลี แวนซ์) ผู้แปล จินดารัตน์ https://www.ndtv.com/offbeat/at-17-elon-musk-had-to-be-retested-for-computer-aptitude-because-2382598
ปัจจุบัน ทัศนคติเหล่านี้ได้เปลี่ยนไป หลังจากยุคของกลุ่ม Gen X ที่ใช้จ่ายเสริมสถานะของตัวเอง โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของเหล่าดารา คนกลุ่ม millennials ให้ความสำคัญกับการซื้อประสบการณ์ มากกว่าสิ่งของ ในขณะที่กลุ่ม Gen Z มองการใช้จ่ายเป็นการแสดงออกถึงตัวตน