Geek Talk EP39 : Can I Tell You A Secret? สารคดีนักสะกดรอยตามทางไซเบอร์รายใหญ่ที่สุดใน UK

เป็นอีกหนึ่งสารคดี Cybercrime ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งนะครับสำหรับ Can I Tell You A Secret? จาก Netflix ที่เริ่มต้นด้วยข้อความออนไลน์ “Can I Tell You A Secret? (ผมบอกความลับกับคุณได้ไหม?)” ที่กะพริบไปยังบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ของผู้หญิง ก่อนที่ผู้ส่งจะดำเนินการที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับชีวิตของเธอ: ทั้งคำเตือนหลอกๆ ว่าเธอถูกนอกใจ หรือรุกล้ำไปยังครอบครัวและเพื่อน ๆ ของเธอ

ผู้กระทำความผิดคือ Matthew Hardy ชายว่างงานจาก Northwich ใน Cheshire ซึ่งเป็นผู้สะกดรอยตามทางไซเบอร์ที่มีผลงานมากที่สุดในสหราชอาณาจักร กว่าทศวรรษที่เขาข่มขู่เหยื่อด้วยการสร้างบัญชีปลอมหลายร้อยบัญชี และใช้มันเพื่อทำลายความสัมพันธ์และชื่อเสียงของหญิงสาวเหล่านี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
http://tinyurl.com/yc8k9ewh

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
http://tinyurl.com/3apd6u2t

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://tinyurl.com/3ue7bkc4

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
 http://tinyurl.com/2pv2sdku

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Pzl-KpHrWx4

AirAsia MOVE ปรับโฉมแอปพลิเคชั่นใหม่ โชว์ก้าวใหม่ตอบโจทย์นักเดินทาง

AirAsia MOVE หรือเดิมชื่อ airasia Superapp ได้เปลี่ยนโฉมไอคอนบนแอปพลิเคชั่นใหม่ทั้งบน App Store (iOS) และ Play Store (Android) โดยมีผลตั้งแต่วันนี้  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์มนับตั้งแต่มีรีแบรนดิ้งตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา

นาเดีย โอเมอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AirAsia MOVE กล่าวว่า “ไอคอนโฉมใหม่บนแอปพลิเคชั่นของเรานับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นครั้งแรกที่เกิดขึ้น ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นในพันธกิจของเราในการยกระดับและปรับปรุงคุณภาพและประสบการณ์เดินทางสำหรับนักเดินทางทุกคน  

โดยเราได้มีการปรับโฉมตั้งแต่เลย์เอาท์ของแอปพลิเคชั่นไปจนถึงผลิตภัณฑ์ บริการ และข้อเสนอใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นอันยากจะห้ามใจ   AirAsia MOVE  โฉมใหม่ จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างราบรื่นตลอดการเดินทาง    สำหรับผู้ที่มีแอปพลิเคชั่นรูปแบบเดิมอยู่แล้ว คุณจะได้รับการอัพเดตไปสู่แอปโฉมใหม่ค่ะ

ขณะที่ไอคอนของแอปจะมีรูปลักษณ์โฉมใหม่ภายใต้การรีแบรนดิ้งใหม่ในชื่อ AirAsia MOVE  แต่เราอยากให้ทุกคนมั่นใจว่าคุณจะพบเจอกับประสบการณ์เดินทางแบบไม่เหมือนใครที่คุณชื่นชอบบ เช่น การจองเที่ยวบินของแอร์เอเชียและจากสายการบินอื่นๆ  โรงแรม บริการเรียกรถยนต์รับส่งจาก airasia ride การจัดการการจองของคุณบนแอป ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับนักเดินทางท่านอื่น ผ่านการแชทและชุมชนของเรา รวมถึงฟังก์ชั่นแชทถามตอบอัติโนมัติ AskBo  เราหวังว่าคุณจะได้เพลิดเพลินไปกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอปโฉมใหม่และการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น โปรดคลิกไปที่หน้านี้

AirAsia MOVE เติมเต็มการเดินทางของคุณด้วยการผสานประสบกาณณ์ผ่านฟีเจอร์ต่างๆ อาทิ แชทของแอร์เอเชีย เกม การให้ของขวัญ และโปรแกรมสะสมคะแนนในรูปแบบที่ไม่เหมือนใครให้แก่ผู้ใช้งานอันเป็นเอกลักษณ์

ภายใต้อีโคซิสเต็มด้านการท่องเที่ยวของ AirAsia MOVE ประกอบด้วยบริการ OTA หรือผู้ให้บริการด้านการจองที่พักโรงแรม รวมถึงบริการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ การจองเที่ยวบินจากสายการบินพันธมิตรกว่า 700 สายการบิน รวมถึงสายการบินของ AirAsia สายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลก และโรงแรม 900,000 แห่งทั่วโลก รวมถึงบริการเรียกรถยนต์รับส่งส่วนบุคคล  การจองโต๊ะอาหารร้านดัง ประกันภัย และอื่นๆ อีกมากมาย

ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริการทางการเงินแบบครบวงจรโดย BigPay ทั้งยังได้รับการยอมรับจาก World Travel Awards ว่าเป็น ‘ตัวแทนการท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของเอเชียประจำปี 2023’ ในการเสนอชื่อครั้งแรกในหมวดหมู่ OTA ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวอีกด้วย

ดาวน์โหลด airasia MOVE จาก Apple App Store และ Google Play Store หรือ Huawei AppGallery

ทั้ง AirAsia MOVE และ BigPay เป็นส่วนหนึ่งของ MOVE Digital ซึ่งเป็นหน่วยงานดิจิทัลภายใต้กลุ่ม Capital A Berhad

ขี้ขโมยก็ต้องโดนวางยาพิษ กับการล้างแค้นของเหล่าศิลปินที่ถูกขโมยผลงานแบบหน้าด้าน ๆ โดย AI

ความรุ่งเรืองของยุค Generative AI ที่เกิดขึ้น ก็ต้องบอกว่ากลุ่มคนที่เกิดความเสียหายกับพวกเขามากที่สุดคงหลีกหนีไม่พ้นกลุ่มศิลปิน ที่เกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์ที่เรียกได้ว่าผลงานที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขานั้นโดนขโมยไปสร้างผลงานโดย AI

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจกับความสามารถของ AI ในการสร้างสรรค์งานศิลปะในแขนงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโมเดล AI ที่ใช้ในการสร้างภาพอย่าง DALL-E,Midjourney และ Stable Diffusion หรือเคสล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับงานสร้างสรรค์วีดีโออย่าง Sora ของ OpenAI นั้น จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาแล้วมันดูคุ้น ๆ ว่าไปเอาความสามารถเหล่านี้มาจากไหนหากพวกมันสามารถคิดเองเออเองได้ทั้งหมดด้วยตัวมันเอง

บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยี AI เช่น OpenAI , Meta , Google และ Stability AI กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องจำนวนมากจากศิลปินที่อ้างว่าเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์แบบถูกต้องตามกฎหมายและข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาถูกขโมยไปอย่างหน้าด้าน ๆ โดย AI

แต่เหมือนสวรรค์ทรงโปรดให้กับเหล่าศิลปินที่ต้องการล้างแค้นเจ้า AI หน้าด้านเหล่านี้ เมื่อเครื่องมือใหม่ที่มีชื่อว่า Nightshade ได้ถือกำเนิดขึ้นและถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับเหล่าบริษัท AI ทั้งหลาย

ซึ่งรูปแบบการทำงานของมันก็คือการสร้างข้อมูลที่เปรียบเสมือนยาพิษหลอกเจ้า AI ทั้งหลาย ให้สาสมที่มันมันกจะขโมยผลงานของคนอื่นไปฝึกอบรบแล้วแอบอ้างโดยไม่ให้เครดิตว่าเป็นผลงานของตนเอง

รูปแบบคล้าย ๆ การวางยาพิษ ทำให้ข้อมูลที่จะถูกนำไป training โดย AI ไม่สามารถที่จะทำซ้ำมันได้ในอนาคต โดยทำให้ผลลัพธ์บางส่วนกลายเป็นสิ่งไร้ค้า เช่น สุนัขกลายเป็นแมว รถยนต์กลายเป็นวัว และอื่น ๆ

Ben Zhao ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งเป็นผู้นำทีมที่สร้าง Nightshade กล่าวว่า ความหวังอันสูงสุดของเขาก็คือมันจะช่วยสร้างเครื่องมือปกป้องที่ทรงพลังต่อการไม่เคารพลิขสิทธิ์และหยาดเหงื่อแรงกายของศิลปิน

ทีมงานของ Zhao ยังได้พัฒนา Glaze ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ศิลปินช่วยปกปิดสไตล์ส่วนตัวของตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัท AI สามารถเลียนแบบมันได้

โดยมันจะทำงานในลักษณะเดียวกับ Nightshade โดยการเปลี่ยนพิกเซลของภาพในรูปแบบที่มีความละเอียดอ่อนซึ่งตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ใช้เทคโนโลยี Machine Learning เพื่อตีความภาพว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างจากที่มันแสดงจริง ๆ

Ben Zhao ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งเป็นผู้นำทีมที่สร้าง Nightshade (CR:global.uchicago.edu)
Ben Zhao ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งเป็นผู้นำทีมที่สร้าง Nightshade (CR:global.uchicago.edu)

โดยทีมพัฒนาตั้งใจที่จะรวม Nightshade เข้ากับ Glaze และศิลปินสามารถเลือกได้ว่าต้องการใช้เครื่องมือเพื่อทำลายข้อมูลหรือไม่ และทีมงานยังมีการเปิดโอเพ่นซอร์ส Nightshade ซึ่งจะช่วยให้ผู้อื่นสามารถปรับแต่งและสร้างเวอร์ชันของตนเองได้

และเมื่อยิ่งมีคนใช้มันมากเท่าไหร่และสร้างเวอร์ชันของตัวเองมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การโจมตีไปที่จุดอ่อนของ AI

แม้ทุกคนอาจจะมองว่าเทคโนโลยี AI ในยุคนี้มันฉลาดเกินมนุษย์ไปเสียแล้ว แต่ด้วยความที่มันเป็นเทคโนโลยียังไงมันก็มีจุดอ่อนให้โจมตีเสมอ

Nightshade ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในโมเดล AI ทั่วไปซึ่งเกิดขึ้นจากการที่โมเดลเหล่านี้ได้รับการ training จากข้อมูลจำนวนมหาศาลซึ่งภาพส่วนใหญ่ก็มีการดูดมาจากอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

ศิลปินที่ต้องการอัปโหลดผลงานทางออนไลน์ แต่ไม่ต้องการที่จะให้บริษัท AI ดูดภาพของพวกเขาไปใช้งาน สามารถอัพโหลดไปที่ Glaze และเลือกที่จะเติมยาพิษเข้าไปด้วยสไตล์ศิลปะที่แตกต่างจากต้นฉบับของพวกเขาได้

เมื่อเหล่านักพัฒนาในบริษัทด้าน AI พยายามที่จะดูดภาพมาจากอินเทอร์เน็ตเพื่อปรับแต่งโมเดล AI ที่มีอยู่อยู่หรือสร้างโมเดลใหม่ขึ้นมา ยาพิษเหล่านั้นก็จะเข้าไปทำลายชุดข้อมูลในโมเดลและทำให้มันทำงานผิดปรกติทันที

ซึ่งแน่นอนว่ามันเหมือนหอกทิ่มแทงเข้าไปใจกลางหัวใจของ AI เมื่อพวกมันได้รับยาพิษ เครื่องมันก็รวนไปหมด เช่น มองเห็นรูปภาพหมวกเป็นเค้ก และรูปภาพกระเป๋าถือเป็นเครื่องปิ้งขนมปัง เป็นต้น

ที่สำคัญยาพิษเหล่านี้มันลบได้ยากมาก ๆ โดยเฉพาะโมเดลขนาดใหญ่ ๆ ที่คอยดูดข้อมูลมั่วซั่วไปซะหมดทั้งของฟรีและของที่มีลิขสิทธิ์ เพราะต้องคัดแยกและลบตัวอย่างภาพที่เสียหายแต่ละตัวอย่างระมัดระวัง

โดยนักวิจัยได้ทดสอบการโจมตีโมเดลล่าสุดของ Stable Diffusion เมื่อทำการป้อนข้อมูลรูปภาพของสุนัขพร้อมแนบยาพิษสุดแสบเข้าไปให้ Stable Diffusion เพียง 50 รูป แล้วสั่งให้มันสร้างรูปภาพของสุนัขขึ้นมาเอง

การวางยาพิษให้ AI ที่ทำงานให้การทำงานของมันเพี้ยนไปหมด (CR:technologyreview)
การวางยาพิษให้ AI ที่ทำงานให้การทำงานของมันเพี้ยนไปหมด (CR:technologyreview)

ผลลัพธ์ที่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง สุนัขได้แปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดมีแขนขาและใบหน้าแบบการ์ตูน และด้วยตัวอย่างข้อมูลสุนัขแฝงด้วยยาพิษ 300 ภาพ Stable Diffusion เพี้ยนถึงขนาดว่าสร้างภาพสุนัขให้เหมือนแมวได้เลยทีเดียว

เครื่องมือที่ทรงพลัง

Junfeng Yang ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งศึกษาความปลอดภัยของเทคโนโลยี Deep Learning กล่าวว่า Nightshade อาจมีผลกระทบอย่างมากหากทำให้บริษัทด้าน AI เคารพสิทธิของศิลปินมากขึ้น เช่น การเต็มใจที่จะจ่ายค่าลิขสิทธิ์มากขึ้นไม่ใช่ขโมยไปแบบดื้อ ๆ

บริษัท AI ที่ได้พัฒนาโมเดลการแปลงข้อความเป็นรูปแบบ เช่น Stability AI และ OpenAI ได้เสนอทางเลือกให้ศิลปินเลือกไม่ใช่รูปภาพของตนเองเพื่อฝึกโมเดลเวอร์ชันในอนาคต

แต่ศิลปินมองว่าแค่นั้นมันไม่เพียงพอ Eva Toorenent นักวาดภาพประกอบและหนึ่งในศิลปินที่เคยใช้ Glaze กล่าวว่านโยบายชุ่ย ๆ แบบนี้ มันแทบจะไร้ค่าเพราะสุดท้ายแล้วเราก็ยังปล่อยให้บริษัทเทคโนโลยีมีอำนาจทั้งหมดอยู่ดี

Toorenent หวังว่า Nightshade จะเป็นฮีโร่มาช่วยศิลปินแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม

“มันจะทำให้บริษัท AI ผู้หิวโหยข้อมูล ต้องคิดทบทวน เพราะมันมีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายโมเดลทั้งหมดที่ขโมยผลงานของเราโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเรา” เธอกล่าว

Eva Toorenent นักวาดภาพประกอบและหนึ่งในศิลปินที่เคยใช้ Glaze  (CR:evaboneva.com)
Eva Toorenent นักวาดภาพประกอบและหนึ่งในศิลปินที่เคยใช้ Glaze (CR:evaboneva.com)

Authumn Beverly ศิลปินอีกคนกล่าวว่าเครื่องมืออย่าง Nightshade และ Glaze ทำให้เธอมั่นใจในการโพสต์ผลงานของเธอออนไลน์อีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้เธอได้ลบมันออกจากอินเทอร์เน็ตทั้งหมดหลังจากพบว่ามันถูกขโมยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเธอโดย LAION ที่ใช้วิธีการทำ Web Scraping ซึ่งเป็นการใช้บอตเพื่อค้นหาภาพจากอินเทอร์เน็ตและดูดมันมา

“ฉันรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่เรามีเครื่องมือที่สามารถช่วยคืนพลังให้กับศิลปินสำหรับการช่วยปกป้องงานของพวกเขาเองได้” เธอกล่าว

บทสรุป

แม้มันจะเป็นเรื่องดีสำหรับเครื่องมือเหล่านี้สำหรับเหล่าศิลปิน แต่การนำยาพิษมารบกวนกระบวนการเรียนรู้ของ AI ทำให้เกิดความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นกับผลลัพธ์ของมันเช่นกัน หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง

ความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนระหว่างศิลปินและโมเดล AI ตั้งแต่การป้องกันการใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตไปจนถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับโมเดล AI ที่ใช้ในการสร้างภาพ

เครื่องมือเหล่านี้ได้นำพามนุษย์เราไปในดินแดนที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนในโลกแห่งศิลปะโดย AI ที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างก็ต้องมีความบาลานซ์กันระหว่างศิลปะ เทคโนโลยี และเรื่องจริยธรรม ที่กำลังไหลเวียนมาบรรจบกันอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.technologyreview.com/2023/10/23/1082189/data-poisoning-artists-fight-generative-ai/
https://www.themarysue.com/artists-fighting-back-against-ai-with-glaze-and-nightshade/
https://medium.com/generative-ai-art/nightshade-and-glaze-tools-reshape-the-battle-against-unauthorized-ai-model-training-3d49996e01c4

Geek Monday EP216 : หมดยุคของ Unicorn Startup แล้ว แม้กระทั่ง AI ก็หวังพึ่งไม่ได้

ภาพที่เราเห็นการประท้วงของเหล่า Rider ที่ถูกกดขี่ค่ารอบ ลดราคาแทบจะรายวัน หรือ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่กำลังเจอการขึ้นค่าธรรมเนียมมหาโหดจากการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ภาพเหล่านี้ล้วนสะท้อนสิ่งที่ชัดเจนมาก ๆ คือ ยุคของการระดมทุนด้วยเงินราคาถูกมันได้จบสิ้นไปแล้ว

การที่เหล่าบริษัท Startup ด้านเทคโนโลยี ที่คิดไอเดียไประดมทุน แล้วได้เงินมาผลาญเพื่อแก่งแย่งชิงตลาดในรูปแบบเดิม ๆ ด้วยการอัดหว่านเม็ดเงินจากบริษัทด้านการลงทุนนั้นยากที่จะเห็นภาพนั้นอีกต่อไป เราได้เห็นภาพ Unicorn หลายรายล่มสลาย หรือ ปิดตัวลงได้กลายเป็นเรื่องปรกติมากในยุคนี้แม้กระทั่งบริษัทที่สร้างเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดแห่งยุคอย่าง AI ก็ตามที

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
http://tinyurl.com/55p8cja7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
http://tinyurl.com/2ecdh6ur

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://tinyurl.com/3keem2r6

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
 http://tinyurl.com/y7z5m2y5

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/aRVdiBOojP8

Zip2 กับการเริ่มต้นอันสวยหรู สู่การสานฝันที่จะเปลี่ยนโลกของ Elon Musk

ผมว่านักธุรกิจหลายรายที่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องเจออุปสรรคกับชีวิตมากมาย กว่าจะเจอธุรกิจที่ปังจริง ๆ และพลิกชีวิตได้นั้นคงต้องผ่านอะไรมาไม่น้อย ซึ่งการเริ่มต้นธุรกิจแรกอย่างสวยหรูนั้นคงเป็นฝันของใครหลายๆ คนที่อยากจะคว้ามัน

แม้ว่าในตอนแรกนั้น อีลอน มัสก์ ยังไม่มั่นใจนักว่าจะได้ทำงานในเรื่องที่สนใจ อย่าง อินเทอร์เน็ต , พลังงานที่ยั่งยืน หรือ เรื่องการสำรวจอวกาศ ซึ่งล้วนจะมีอิทธิพลอย่างสูงต่ออนาคตของมนุษยชาติ ซึ่งตัวเขาเชื่อว่าทั้งสามสิ่งเหล่านี้ จะทำให้โลกมีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น หากเขาได้ทำงาน หรือ สร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทั้งสามหัวข้อดังกล่าว

ในช่วงที่เขากำลังศึกษาในระดับ มหาลัยนั้น มัสก์ เริ่มที่จะสนใจ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยไฟฟ้า ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาพลังงานที่กำลังจะหมดโลกอย่างน้ำมัน ความสนใจของเขามุ่งไปที่การที่จะสร้างแบตเตอรี่ เพื่อใช้ขับเคลื่อนยานพาหนะเหล่านี้

ในปี 1995 มัสก์ได้ทุนการศึกษาเข้าเรียนระดับ PhD ในสาขา materials science & applied physics ที่ Stanford University งานธีสิส ของเขานั้นเป็นไอเดียเกี่ยวกับการสร้างแหล่งพลังงานแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ให้กับเหล่ายานพาหนะที่ถูกขับเคลื่อนโดยไฟฟ้านั่นเอง

สำหรับดีกรี PhD ที่จะได้มาหลังเรียนจบนั้นมัสก์ไม่ได้สนใจมันนัก แต่เขาสนใจผลจากงานวิจัยชิ้นนี้มากกว่า เป้าหมายของเขาต้องการที่จะทดแทนแบตเตอรี่รูปแบบเดิมๆ  ด้วยแบตเตอรี่รูปแบบใหม่ที่เขาได้วิจัยขึ้น ซึ่งจะทำให้มันสามารถที่จะชาร์จได้อย่างรวดเร็วที่สุดแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

และมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ อินเทอร์เน็ต กำลังเติบโตแบบสุดขีด มันทำให้มัสก์ ต้องเลือกทางเดินของชีวิตอีกครั้ง ว่าจะอยู่เรียนระดับ PhD เพื่อทำงานวิจัยให้สำเร็จ และเฝ้ามองอินเทอร์เน็ตที่กำลังจะเปลี่ยนโลกใบนี้อยู่เฉย ๆ หรือ ออกมาทำความฝันอีกอย่างหนึ่งของเขาในโลกอินเทอร์เน็ตแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อที่ Stanford

และเมื่อเขาได้วิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วนั้น เขาก็เลือกอินเทอร์เน็ตก่อน เขาลาออกจากการเรียน PhD ที่ Stanford เพราะดูเหมือนว่าการทำความฝันทางด้านอินเทอร์เน็ตนั้นน่าจะบรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่าต้องเรียน PhD ที่อีกหลายปีกว่าจะเรียนจบ

ซึ่งตอนนั้นหลาย ๆ คนมองว่าความคิดของเขาเป็นความคิดที่บ้าน่าดู เพราะเขาได้รับทุนที่ Stanford และมีเส้นทางที่สดใสสำหรับการเรียนที่ทุกคนต่างอิจฉา 

เขาต้องเริ่มหางานที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตทันที แต่ปัญหาใหญ่ คือ เขาแทบจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ที่เป็นรูปธรรมมาก่อนเลย แม้เขาจะเป็นอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์คนหนึ่ง ที่เคยสร้างเกมส์ที่ประสบความสำเร็จมามากมายแล้วก็ตามที

ในขณะนั้น Web Browser ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่คือ NetScape ซึ่งครองส่วนแบ่งได้ถึง 90% แต่เพียงแค่ปีให้หลัง ก็ถูก Microsoft แย่งชิงตลาดไปจนเกือบหมด ด้วยกลยุทธ์ขายพ่วง Windows และแจก Internet Explorer ให้ใช้กันฟรี ๆ 

มัสก์นั้นเคยสมัครไปทำงานกับ NetScape แต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาต้องการทำงานกับบริษัทที่สร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก และ เมื่อเขาไม่สามารถเข้าไปทำงานกับบริษัทอินเทอร์เน็ตเหล่านี้ได้ อีกทางเลือกหนึ่งคือเขาต้องสร้างบริษัทขึ้นมาเอง

มัสก์ นั้นฉุกคิดถึงเรื่องธุรกิจอินเทอร์เน็ตได้จาก ในวันหนึ่งเขาได้พบกับพนักงานขายของเยลโลว์เพจเจส ซึ่งพนักงานขายคนนั้นได้นำเสนอเรื่องการทำบัญชีรายชื่อออนไลน์ที่ปรกติก็คือสมุดหน้าเหลือเล่มหนาเต๊อะ ให้มาอยู่ในอินเทอร์เน็ต

และ ไอเดียนี้ นี่เองที่ทำให้มัสก์นั้นได้ไปคุยกับ คิมบัล น้องชายของเขา และได้พูดถึงไอเดียแนวคิดที่จะช่วยธุรกิจต่าง ๆ ให้สามารถก้าวสู่โลกออนไลน์ได้เป็นครั้งแรก ซึ่งในปี 1995 สองพี่น้องก็ได้เริ่มก่อตั้ง Global Link Information Network บริษัทสตาร์ทอัพ ที่สุดท้ายได้กลายร่างมาเป็นบริษัท Zip2 

อีลอน มัสก์ และ คิมบัล น้องชายของเขา (CR:Sutori)
อีลอน มัสก์ และ คิมบัล น้องชายของเขา (CR:Sutori)

ในตอนนั้น มีธุรกิจขนาดเล็กเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่เข้าใจอิทธิพลของอินเทอร์เน็ตที่มีต่อธุรกิจพวกเขาเหล่านี้ ยังมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร มัสก์ กับน้องชาย มีแนวคิดที่จะโน้มน้าว ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ร้านทำผม และร้านที่เป็นธุรกิจขนาดย่อมอื่น ๆ และพาพวกเขาเหล่านี้ขึ้นสู่ระบบอินเทอร์เน็ต

สองพี่น้องมัสก์ และ คิมบัล ได้ให้กำเนิด Zip2 ขึ้นใน พาโล อัลโต พวกเขาได้เช่าสำนักงานขนาดเล็กเท่าอพาร์ตเมนต์แบบสตูดิโอ ขนาด กว้าง 20 ฟุต คูณ 30 ฟุต มันเป็น ออฟฟิศขนาดเล็ก ๆ เพื่อให้พวกเขาได้เริ่มธุรกิจกันได้เท่านั้น

ช่วงแรกนั้น มัสก์ ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาจากการเขียนเกมมาก่อน เป็นคนเขียนโค้ดหลักทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง เขาได้ซื้อฐานข้อมูลธุรกิจในเขตเบย์แอเรียมาได้ ในราคาไม่แพงนัก ซึ่งจะมีการรวบรวมรายชื่อที่อยู่และธุรกิจต่าง ๆ เพื่อมาเป็นฐานข้อมูลตั้งต้นของ Zip2

ส่วนเรื่องของแผนที่นั้น มัสก์ ได้ไปเจรจากับ บริษัท Navteq บริษัทด้านแผนที่ในอุปกรณ์นำทางแบบจีพีเอสในยุคแรก ๆ มัสก์ได้ใช้เทคนิคเจรจาจนได้เทคโนโลยีมาใช้แบบฟรี ๆ ซึ่งเหล่าวิศวกรของ Zip2 ก็ได้เพิ่มข้อมูลฐานข้อมูลและเชื่อมกับแผนที่ที่ได้จาก Navteq ให้กลายเป็นระบบพื้นฐานและเปิดใช้งานให้ได้อย่างเร็วที่สุด

Navteq บริษัทด้านแผนที่ในอุปกรณ์นำทางแบบจีพีเอสในยุคแรก ๆ (CR:Omelette Inn)
Navteq บริษัทด้านแผนที่ในอุปกรณ์นำทางแบบจีพีเอสในยุคแรก ๆ (CR:Omelette Inn)

แม้ Zip2 นั้นจะเป็นกิจการอินเทอร์เน็ตที่น่าจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในยุคบูมสุดขีดของ อินเทอร์เน็ต แต่การที่จะจูงใจให้เหล่าธุรกิจต่าง ๆ มาเข้าร่วมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยทีเดียว มัสก์ ต้องทำการจ้างทีมเซลล์ เพื่อไปเคาะประตูขายไอเดียดังกล่าวให้ธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นลูกค้าเป้าหมายของเขาถึงหน้าบ้าน

มัสก์ ทำงานอย่างหนักจนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ  เขาแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิส นอน กิน ทำงาน ทุกอย่างอยู่ภายในออฟฟิส มันทำให้ Zip2 พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเปลี่ยนจากแค่การพิสูจน์แนวคิด มาเป็นผลิตภัณฑ์จริงๆ  ที่ใช้และสาธิตให้ลูกค้าเห็นภาพได้

นั่นทำให้เหล่านักลงทุนต่างเชื่อในความทุ่มเทถวายชีวิตให้บริษัทของมัสก์ ตอนนี้มัสก์ได้แขวนชีวิตไว้กับการสร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมา เขาจะพลาดไม่ได้ เขาทุ่มสุดตัวกับโปรเจกต์นี้เป็นอย่างมาก 

หนึ่งในนักลงทุนคนสำคัญ คนแรก ๆ คือ เกรก โครี นักธุรกิจชาวแคนาดา ซึ่งเจอพี่น้องมัสก์ ในเมืองโตรอนโต และร่วมสนับสนุนการระดมความคิดของ Zip2 ยุคแรก ๆ เขาได้ลงทุนกว่า 6,000 เหรียญ จนในปี 1996 เขาย้ายไปยังแคลิฟอร์เนียและร่วมเป็นผู้ก่อตั้ง Zip2

ซึ่งเกรก นี่เองเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ อีลอน มัสก์ ฟัง และมีวิธีอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้มัสก์เข้าใจได้ ซึ่งการที่มัสก์เป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ ทำให้บางทีหลาย ๆ คนไม่เข้าใจว่ามัสก์กำลังคิดอะไรอยู่ และจะสื่อสารกับเขาได้อย่างไร

ในตอนต้นปี 1996 Zip2 ก็ได้รับการลงทุนจาก  Mohr Davidow Ventures โดยได้รับเงินทุนกว่า 3 ล้านเหรียญ และได้เริ่มว่าจ้างวิศวกรเพิ่มมากขึ้น รวมถึงปรับโมเดลธุรกิจใหม่ให้กลายเป็นระบบบอกทางที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์  และได้เริ่มขยายธุรกิจไปทั่วประเทศ

แม้ภายหลังมัสก์ นั้นจะถูกบีบให้ขึ้นไปเป็นประธานฝ่ายเทคโนโลยี และ ให้ ริช ซอร์คิน มาเป็น CEO ของบริษัทแทนก็ตาม เพื่อให้บริษัทเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ซึ่งมัสก์ ก็ยอมแต่โดยดี แม้จะขมขื่นกับการที่ต้องวางมือจากบริษัทที่เขาสร้างมาเองก็ตาม แต่มันก็แลกกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลที่เขาได้รับ

ริช ซอร์คิน ที่ผลักดันให้ Zip2 กลายเป็นบริษัทมืออาชีพมากขึ้น (CR:Global Supply Chain Excellence Summit)
ริช ซอร์คิน ที่ผลักดันให้ Zip2 กลายเป็นบริษัทมืออาชีพมากขึ้น (CR:Global Supply Chain Excellence Summit)

ซึ่งการสร้าง Zip2 ของมัสก์นั้น มันได้เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก เขาควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น และเริ่มรู้ตัวและจัดการกับนิสัยเสีย ๆ บางอย่างของตัวเองเช่น การชอบไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแบบแรง ๆ 

มัสก์นั้นก็ยังเป็นขุมกำลังหลักในบริษัทเหมือนเดิม เขาเป็นผู้นำปลุกใจเหล่าพนักงานของเขาได้อย่างดี ตอนนี้ภาวะผู้นำของเขานั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และ Zip2 ก็เริ่มที่เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากบริษัทสื่อใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ไนท์รีดเดอร์ หรือ เฮิร์สท์คอร์เปอเรชั่น และสื่อใหญ่ ๆ อื่น ๆ อีกมากมายต่างลงทะเบียนมาใช้บริการ

บางแห่งก็ได้ทำการลงทุนเพิ่มใน Zip2 เลยด้วยซ้ำ บางรายให้สูงถึง 50 ล้านเหรียญ ตอนนั้นบริการอย่าง Craigslist นั้นเพิ่งเริ่มจะก่อตั้งขึ้นยังไม่ได้เป็นคู่แข่งกับ Zip2 เสียทีเดียว 

Zip2 ก็เป็นที่กล่าวขวัญในวงกว้างเนื่องจากสื่อยักษ์ใหญ่เหล่านี้อยากได้โฆษณาย่อย และรายชื่อสำหรับหน้าอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ และข่าวบันเทิง และมันทำให้เงินไหลเทมาที่ Zip2 อย่างต่อเนื่อง และทำให้เติบโตอย่างรวดเร็ว 

เพียงแค่ 2 ปีหลังจากนั้น Zip2 ได้รับข้อเสนอในการรวมกิจการกับคู่แข่งอย่าง CitySearch ซึ่งข้อตกลงมีมูลค่ากว่า 300 ล้านเหรียญ ทำให้ทั้งสองแข็งแกร่งยิ่งขึ้นทั้งทางด้านการตลาดจาก CitySearch และเหล่าวิศวกรอัจฉริยะจาก Zip2

แต่การรวมกันของสององค์กรที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งสองมีการทำงานที่ซับซ้อนกันอยู่หลายส่วน ต้องมีการตัดบางส่วนออกไปหรือผู้บริหารบางคนของ Zip2 ก็ถูกลดความสำคัญลงไป มัสก์นั้นแม้ตอนแรกจะสนับสนุนการควบรวม ก็ได้เปลี่ยนเป็นมาต่อต้านแทนในท้ายที่สุด

แต่ข้อตกลงต่าง ๆ มันได้คุยกันไปไกลมากแล้ว สถานการณ์ของ Zip2 เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก แถมยังมีคู่แข่งรายใหญ่อย่าง ไมโครซอฟต์ กำลังเข้ามาสู่ตลาดนี้ รวมถึงสตาร์ทอัพรายอื่น ๆ ก็กำลังสนใจตลาดนี้เช่นกัน มันทำให้คู่แข่งเริ่มเข้ามาเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ

แต่แล้ว ในปี 1999 เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อบริษัทคอมแพคที่ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ของโลกในขณะนั้น ได้เสนอขอซื้อ Zip2 ด้วยเงินสดถึง 307 ล้านเหรียญ มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์มาโปรดสำหรับผู้ลงทุนใน Zip2 ที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่ และพวกเขาแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลยในการตกลงรับข้อเสนอดังกล่าว

ข้อเสนอของคอมแพคดังกล่าวนี่เองที่ทำให้ มัสก์ และ คิมบัล สองพี่น้อง กลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ มัสก์ ได้ส่วนแบ่งถึง 22 ล้านเหรียญ ส่วน คิมบัล นั้นได้ไป 15 ล้านเหรียญ มันเป็นเงินมากมายที่พวกเขาแทบไม่เคยได้จับมาก่อน มันเป็นความสำเร็จครั้งแรกของมัสก์เลยก็ว่าได้ในเรื่องของการทำธุรกิจ และที่สำคัญมันเพิ่งจะเป็นธุรกิจแรกของเขาเท่านั้น

และแน่นอนว่าเงินจำนวนนี้ที่มัสก์ได้มานั้นเขาต้องการลงมือในโปรเจคต่อไปทันที มัสก์ยอมรับว่าการสร้างบริษัทแรกอย่าง Zip2 นั้น มันมีข้อผิดพลาดหลายอย่างซึ่งเขาแทบจะไม่เคยบริหารบริษัทมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

การดูและลูกน้องก็ทำได้ไม่ดีนักเพราะมัสก์มักจะไปแก้งานของพวกเขาโดยไม่คุยกันก่อน เขามองว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ ที่พวกลูกน้องต้องทำตามให้ได้ สไตล์การเผชิญหน้ากับลูกน้องของมัสก์ ก็ไม่ใช่แนวทางของผู้บริหารบริษัทที่ดีเลย มักจะมีแต่เสียกับเสียเสมอ เวลามัสก์ต้องเผชิญหน้ากับลูกน้องพร้อมกับปัญหา

มัสก์ ผู้ซึ่งดิ้นรนต่อสู้ในยุคดอทคอม ต้องเรียกได้ว่า มีทั้งความสามารถและมีดวงผสมอยู่ด้วย เขามีไอเดียเหมาะเจาะที่มาทำ Zip2 ได้ถูกที่ถูกเวลา และทำให้มันกลายเป็นบริการได้จริง ๆ แถมสามารถก้าวออกมาพร้อมเงินทุนที่จะนำไปสร้างธุรกิจใหม่ที่เขาใฝ่ฝันไว้ ฝันที่จะทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม