ความเชื่อทางศาสนา x สตาร์ทอัพ กับเบื้องหลังฉากเทคโนโลยีในกลุ่ม ultra-Orthodox ของอิสราเอล

เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับระหว่างความเชื่อทางศาสนาที่สุดโต่งอย่างกลุ่ม ultra-Orthodox กับเรื่องราวธุรกิจสตาร์ทอัพที่เรียกได้ว่าเป็นแบบทุนนิยมแบบสุดๆ ในประเทศอย่างอิสราเอลจะหลอมรวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันได้อย่างไร

แต่ที่อิสราเอลมีสำนักงานที่ชื่อว่า Bizmax ที่ตั้งอยู่ในเขต Roomema ของกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งที่แห่งนี้เหมือนแหล่งบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพไม่ต่างจากที่อื่นๆ ทั่วโลก ที่ซึ่งเหล่ากลุ่มคนรุ่นใหม่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลก

แต่ภารกิจของ Bizmax นั้นมีความน่าสนใจมากกว่าแหล่งบ่มเพาะทางด้านเทคโนโลยีที่อื่นๆ ในโลก เพราะมีเป้าหมายเพื่อนำผู้ชายจากชุมชน Heredi ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ซึ่งตามหลักการทางศาสนาแล้วนั้นต้องหลีกเลี่ยงวิถีชีวิตที่เป็นรูปแบบสมัยใหม่

แต่ด้วยการที่ประเทศอิสราเอลนั้นมีเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และมีผู้ประกอบการโดยเฉพาะด้านสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จมากมาย และที่สำคัญกลุ่ม Heredi ผู้เลื่อมใสศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแรงกล้า มีสัดส่วนถึง 1 ใน 8 ของประชากร และด้วยอัตราการเกิดของคนกลุ่มนี้ที่สูงโดยเฉลี่ยถึง 7 คนต่อครอบครัวนั้น จะทำให้พวกเขากลายเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของประชากรอิสราเอลในปี 2050

อัตราการเกิดของคนกลุ่มนี้ที่สูงโดยเฉลี่ยถึง 7 คนต่อครอบครัว (CR:UK Human Rights Blog)
อัตราการเกิดของคนกลุ่มนี้ที่สูงโดยเฉลี่ยถึง 7 คนต่อครอบครัว (CR:UK Human Rights Blog)

เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่รัฐบาลอิสราเอลให้ความสำคัญ เพราะอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้ในอนาคตข้างหน้า

โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเรียกได้ว่ามีผลกระทบในวงกว้างมาก ๆ ในครอบครัว Heredi ผู้หญิงมักจะเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก ในขณะที่ผู้ชายอุทิศตนเพื่อการศึกษาด้านศาสนา

มีผู้ชายชาว Heredi เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ทำงาน และเกือบครึ่งหนึ่งของครอบครัวแบบ ultra-Orthodox อยู่ระดับต่ำกว่าเส้นความยากจน

ในโลกนี้มีสถานที่เพียงไม่กี่แห่งที่เหมาะสมมาก ๆ สำหรับผู้ประกอบการเหมือนที่อิสราเอล ปีที่แล้วกลุ่มเทคโนโลยีของประเทศสามารถระดมทุนได้สูงถึง 25.4 พันล้านดอลลาร์ และภาคส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกของประเทศอิสราเอล

แต่เป็นเรื่องท้าทายไม่น้อยกับคนกลุ่มดังกล่าว เพราะโรงเรียนสอนศาสนาในชุมชนหลายแห่งแทบไม่ได้สอนวิชาคณิตศาสตร์หรือภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ

เหล่าผู้นำศาสนาได้พยายามต่อสู้กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น สมาร์ทโฟนและเครือข่ายโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งทีวี และเนื่องจากผู้ชายชาว Heredi มักไม่รับราชการทหาร พวกเขาจึงแทบไม่ได้รับรู้ข่าวสารจากเครือข่ายเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อระหว่างหน่วยข่าวกรองและบริษัทไซเบอร์ชั้นนำของอิสราเอลเลย

เป้าหมายของ Bizmax นั้นก็เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ ซึ่งกำลังจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติ โดยช่วยให้ผู้ประกอบการ Heredi สร้างทักษะทางธุรกิจที่พวกเขาขาด และเชื่อมโยงพวกเขากับนักลงทุนในสภาพแวดล้อมที่ปรับให้เข้ากับความแตกต่างของชาว Heredi

ผู้ชายทำงานในสำนักงาน Bizmax ในกรุงเยรูซาเล็มซึ่งมีภาพแรบไบและคำพูดสร้างแรงบันดาลใจที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนาประดับประดาผนัง (CR:FT)
ผู้ชายทำงานในสำนักงาน Bizmax ในกรุงเยรูซาเล็มซึ่งมีภาพแรบไบและคำพูดสร้างแรงบันดาลใจที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนาประดับประดาผนัง (CR:FT)

จนถึงตอนนี้ โครงการ Bizmax นั้นได้เริ่มผลิดอกออกผลออกมาบ้างแล้ว มีบริษัท 42 แห่งได้เข้ามาร่วม โดยระดมเงินทุนได้ 36 ล้านดอลลาร์และมีการจ้างงานกว่า 200 ตำแหน่ง

ซึ่งหนึ่งในบรรดาผู้ประกอบการเหล่านั้นก็คือ Jonathan Heller ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง MikvaTech ที่นำเสนอเทคโนโลยีทำความสะอาดน้ำสำหรับสระว่ายน้ำและห้องอาบน้ำสำหรับพิธีกรรมของชาวยิว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ควบคุมโดยกฎทางศาสนาที่เข้มงวด

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับเรื่องราวดังกล่าวที่เกิดขึ้น เพราะยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีความเชื่อทางศาสนาแบบสุดโต่งก็ออกมารณรงค์ต่อต้านเช่นเดียวกัน

ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ เพราะความเชื่อเรื่องศาสนาก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ แล้วจะหลอมรวมให้เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างไร ซึ่งผมว่าปัญหานี้ก็กำลังประสบพบเจอในหลายประเทศ แม้กระทั่งในประเทศไทยเราเอง

ซึ่งแนวคิดของ Bizmax นั้นค่อนข้างมีความประนีประนอมในลักษณะที่ไม่มีการบังคับให้พวกเขาเลือกระหว่างศาสนากับธรุกิจของพวกเขา แต่เลือกที่จะเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่ามันเป็นไปได้ โดยเฉพาะในธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของพวกเขาแม้แต่น้อย

References :
https://www.ft.com/content/c59fe1da-eb8d-425b-9e79-b8773cca958a
https://www.theyeshivaworld.com/news/israel-news/534838/bizmax-haredi-business-hub-opens-in-jerusalem.html

Geek Story EP175 : Lithography Wars กับการต่อสู้ของ ASML สู่การผูกขาดเครื่องจักรในการผลิตชิป

ย้อนกลับไปในช่วงปี 1984 ในตอนนั้น ASML เป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ใหม่ ๆ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ แถมยังไม่มีเงินทุน ไม่ต้องคิดถึงการสร้างเครื่องจักรในการผลิตชิปรุ่นถัดไปของโลกที่คงเป็นแค่เรื่องในฝัน

ปีเดียวกันนั้นเองเป็นปีที่บริษัท Philips ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ได้แยกแผนกในการสร้างเครื่องจักรผลิตชิปออกไป และก่อตั้งขึ้นเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ ASML โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Veldhoven ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนเนเธอร์แลนด์ที่ติดกับเบลเยียมมากนัก

มันดูจะไกลเกินฝันจริง ๆ สำหรับ ASML ที่จะกลายเป็นบริษัทระดับโลกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แม้ยุโรปในยุคนั้นจะเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ แต่เห็นได้ชัดว่ายังตามหลัง Silicon Valley และทางฝั่งญี่ปุ่นอยู่สุดกู่

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mpcwuvaa

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/44wvjaha

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/3hc4ucxz

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2p86wfh3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/saA28nZdagk

ดราม่าของ Sam Altman กับความแตกแยกที่ลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้นในอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยี

แม้ว่าโลกของเทคโนโลยีจะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแค่ไหน แต่ต้องบอกว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับแวดวงนี้

มันได้กลายเป็นเรื่องดราม่าซ้ำซ้อนของ Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ที่ถูกกรรมการของบริษัทถีบตกเก้าอี้อย่างกะทันหัน และอีกวันถัดมาเหล่านักลงทุนและพนักงานของบริษัทบางส่วนพยายามที่จะดึงตัว Sam Altman กลับมา ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเมื่อเช้านี้ที่ Satya Nadell ซีอีโอของ Microsoft กระชากตัว Sam มาร่วมชายคาพร้อมตำแหน่งผู้นำทีมวิจัย AI ขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นภารกิจที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของ Microsoft ในตอนนี้

ทุกอย่างเหมือนบทละครดราม่าที่เกิดขึ้นบนทางแยกที่สำคัญของวงการเทคโนโลยีโลก และมีความสำคัญมาก ๆ ต่ออนาคตของมนุษยชาติเช่นเดียวกัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ OpenAI ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดของความแตกแยกใน Silicon Valley ด้านหนึ่งเรียกว่ากลุ่ม Doomers ซึ่งเชื่อว่าหากปล่อยให้ AI ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมนุษยชาติ และด้วยเหตุนี้จึงสนับสนุนให้มีกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

อีกฟากฝั่งเรียกตัวว่า Boomers ที่เน้นย้ำถึงการผลักดันศักยภาพของเทคโนโลยี AI ขัดขวางกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จะเข้ามาจัดการหรือควบคุม AI และผลักดันให้ใช้เชิงพาณิชย์และสร้างกำไรจากเทคโนโลยีให้ได้มากที่สุด

โครงสร้างองค์กรของ OpenAI ถูกออกแบบไว้เพื่อรอบรับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่แรก บริษัทก่อตั้งขึ้นโดยเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในปี 2015 และก่อตั้งบริษัทในเครือที่แสวงหาผลกำไรในอีกสามปีต่อมา

เนื่องจากการขับเคลื่อนเทคโนโลยีดังกล่าวให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วนั้น เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญเพราะ AI สูบกิน Data และพลังการประมวลผลอย่างบ้างคลั่ง และทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย

กลุ่ม Boomers ใช้แนวคิดที่เรียกว่า “effective accelerationism” ซึ่งไม่เพียงแต่ผลักดันให้ AI พัฒนาต่อไปโดยไม่มีอุปสรรคเพียงเท่านั้น แต่ยังควรเร่งความเร็วมันอีกด้วย ผู้นำในเรื่องนี้คือ Marc Andreessen ผู้ก่อตั้ง Andreessen Horowitz บริษัทร่วมลงทุนผู้หิวกระหายเงิน

ดูเหมือนว่า Sam เองจะมีความเห็นอกเห็นใจทั้งสองกลุ่ม โดยเรียกร้องให้มีการสร้างแนวป้องกันเพื่อให้ทำให้ AI ปลอดภัยขึ้น ในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้ OpenAI พัฒนาโมเดลที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น

การเปิดตัวเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น App Store สำหรับผู้ใช้เพื่อสร้างแชทบอทของตนเอง ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของบริษัทอย่าง Microsoft ซึ่งทุ่มเงินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ OpenAI ด้วยสัดส่วน 49% โดยไม่ได้รับที่นั่งในบอร์ดแม้แต่เพียงเก้าอี้เดียว

เพราะฉะนั้นหลังจากที่ Sam ถูกบีบให้ออกทำให้ Microsoft ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นเหตุผลให้พวกเขาเสนอทางออกให้ Sam และเพื่อนร่วมงานของเขามาร่วมงานกับ Microsoft

กลุ่ม Doomers ถือเป็นผู้บุกเบิกการแข่งขัน AI ในยุคแรกมีทุนหนา ในขณะที่ฝั่ง Boomers ขยับจี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นบริษัทขนาดเล็กกว่าและชอบรูปแบบของการเป็นโอเพ่นซอร์สมากกว่า

เริ่มต้นด้วยผู้ชนะในช่วงต้น ChatGPT ของ OpenAI สามารถสร้างฐานผู้ใช้งานได้ 100 ล้านคนในเวลาเพียงแค่สองเดือนหลังการเปิดตัว และการไล่ตามมาแบบหายใจรดต้นคอโดย Anthropic ซึ่งก่อตั้งโดย Dario Amodei ผู้แปรพักตร์จาก OpenAI ที่ปัจจุบันมูลค่ากิจการพุ่งแตะ 25 พันล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย

Dario Amodei ผู้แปรพักตร์จาก OpenAI (CR:Flickr)
Dario Amodei ผู้แปรพักตร์จาก OpenAI (CR:Flickr)

หรือฝั่งของนักวิจัยจาก Google เองซึ่งถือได้ว่าสะสมบุคลากรระดับเทพในวงการไว้มากมาย กำลังซุ่มพัฒนา AI ที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะจาก Google เอง พวกเขากำลังสร้างโมเดลที่ใหญ่กว่าและชาญฉลาดกว่าอย่าง Bard

ในขณะเดียวกัน ความเป็นผู้นำของ Microsoft นั้นมาจากการเดิมพันครั้งใหญ่ใน OpenAI ฟากฝั่งของ Amazon เองก็ไม่น้อยหน้าวางแผนที่จะลงทุนสูงถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐใน Anthropic

แต่ก็ต้องบอกว่าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมันมีบทเรียนมากมายว่า เทคโนโลยีสุดล้ำไม่ได้รับประกันความสำเร็จเสมอไป อยู่ที่ว่าใครจะนำเสนอสู่ผู้บริโภคได้ดีกว่า และในตลาดที่ทั้งเทคโนโลยีรวมถึง demand ความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ผู้เข้ามาใหม่ก็มีโอกาสมากมายที่จะเอาชนะผู้นำได้อยู่เสมอ

และความแตกแยกระหว่างทั้งสองกลุ่มถูกกั้นกลางด้วยอนาคตของ AI แบบโอเพ่นซอร์ส การเปิดตัว LLAMA ซึ่งเป็นโมเดลที่สร้างโดย Meta ได้กระตุ้นกิจกรรมให้เกิดขึ้นในแวดวง AI แบบโอเพ่นซอร์สแบบคึกคักเป็นอย่างมาก

เหล่าผู้สนับสนุนโดยเฉพาะกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็ก มอง Meta เหมือนฮีโร่ และพวกเขาก็สนับสนุนแนวคิดของ Meta เพราะมองว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สนั้นปลอดภัยกว่าเนื่องจากเปิดให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยคนหมู่มาก

แต่อย่างไรก็ตามโลกคงไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เนื่องจากนายทุนใหญ่คือ Meta บางทีการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส Mark Zuckerberg อาจจะพยายามหาทางสอดแนมหนทางในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จากเหล่าสตาร์ทอัพเพื่อมาไล่ล่าให้ตามทันยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley เจ้าอื่น ๆ

Mark Zuckerberg มาเหนือเมฆด้วยการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส (CR:Wikimedia)
Mark Zuckerberg มาเหนือเมฆด้วยการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส (CR:Wikimedia)

มีบันทึกที่เขียนโดยคนวงในของ Google ซึ่งรั่วไหลออกมาในเดือนพฤษภาคมได้ยอมรับว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สกำลังบรรลุผลงานในบางอย่างที่เทียบเท่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของเทคโนโลยีนี้ แต่มีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่ามากในการสร้างสรรค์มันขึ้นมา

ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทุกแห่งจะตกอยู่ในวงวันแห่งความแตกแยกนี้ Meta เลือกทางเดินสายกลางสนับสนุนสตาร์ทอัพแล้วปล่อยให้โลกของโอเพ่นซอร์สดำเนินการไป ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาจะเข้าถึงโมเดลอันทรงพลังสำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้

Meta กำลังเดิมพันจากนวัตกรรมของกลุ่มโอเพ่นซอร์ส ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะช่วยให้แพลตฟอร์มของตนเองสามารถสร้างเนื้อหารูปแบบใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ติดใจและผู้ลงโฆษณามีความสุขกับการจ่ายเงินเพื่อกด Boost

ฟากฝั่ง Apple เรียกได้ว่านิ่งเงียบแบบผิดปรกติ บริษัทเทคโนโลยีที่ร่ำรวยและใหญ่ที่สุดในโลกปิดปากเงียบเกี่ยวกับ AI แทบจะไม่พูดถึงคำ ๆ ดังกล่าวนี้ตามยักษ์ใหญ่ Silicon Valley เจ้าอื่น ๆ

ในการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทได้นำเสนอฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI มากมาย แต่หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า “AI” แต่กลับใช้ศัพท์อื่นเช่น “Machine Learning (ML)” แทน

ต้องบอกว่าการล่มสลายของ OpenAI ที่กำลังเกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าสงครามอุดมการณ์เหนือเทคโนโลยี AI สามารถสร้างความเสียหายได้มากมายเพียงใด แต่สงครามเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเทคโนโลยีจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร จะมีการควบคุมอย่างไร และใครจะเป็นผู้ครอบครองเครื่องจักรทำเงินยุคใหม่จากเทคโนโลยีนี้ในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.washingtonpost.com/technology/2023/11/18/sam-altman-ilya-sutskever-openai/
https://www.calcalistech.com/ctechnews/article/v50hawnv9
https://www.economist.com/business/2023/11/19/the-sam-altman-drama-points-to-a-deeper-split-in-the-tech-world
https://www.nytimes.com/2023/11/18/technology/open-ai-sam-altman-what-happened.html

Geek Monday EP202 : สูตรลับโมเดลธุรกิจของ Temu กับการก้าวขึ้นมาเขย่าบัลลังก์ Amazon ในตลาดโลก

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Temu ได้แซงหน้า Amazon และ Shein อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นแอปช้อปปิ้งฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบน Apple Store และ Google Play และคาดว่าจะท้าทายธุรกิจด้านการค้าปลีกแบบดั้งเดิมในประเทศสหรัฐอเมริกา

คนในวงการและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้เชื่อว่านี่จะเป็นยุคใหม่ของการช้อปปิ้งออนไลน์ระดับโลก และ Silicon Valley อาจพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะแข่งขันกับแอปจากประเทศจีน 

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2uue7r2m

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4w5uhbj6

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/3ywzxfrc

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2p953u2x

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/f3bYU1EAuKc

Affiliate Program กับการพุ่งทะยานที่ไร้ขอบเขตจากนวัตกรรมที่สรรสร้างโดย Jeff Bezos

ในวันที่ 16 กรกฏาคม 1995 ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของ amazon ที่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ของ เจฟฟ์ เบโซส์ เพราะในขณะนั้น internet เริ่มแพร่กระจายไปสู่คนหมู่มากในอเมริกาแล้ว และที่สำคัญมันเป็นการออกตัวก่อนคู่แข่งที่ตอนนั้นหลาย ๆ บริษัทเริ่มตื่นตัวกับ internet แล้ว และกำลังสร้างบริการคล้าย ๆ กันอยู่

amazon เป็นเว็บไซต์ค้าปลีกแรกๆ ที่ขายเพียงแค่หนังสือในช่วงเริ่มต้น ที่ดูจะมีความสมบูรณ์ที่สุด การปรุงแต่งด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดรวมถึงการ design ที่ดูสะอาดตา และมีความเรียบง่าย ทำให้สามารถเป็นที่ต้องตาของเหล่าหนอนหนังสือตัวยงได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากเปิดตัว คำสั่งซื้อเริ่มหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้โปรแกรมเมอร์หลักในทีม ต้องสร้างระบบ เพื่อแจ้งเตือน เมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา โดยให้มีเสียงกระดิ่งเตือนเมื่อมีคำสั่งซื้อใหม่เข้ามา แต่มันก็ใช้งานได้ไม่นาน เพราะคำสั่งซื้อมันเข้ามาอย่างรวดเร็วและเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ  จนเสียงกระดิ่งไปรรบกวนการทำงานทุกคนในทีม

หน้าเว็บ Amazon ยุคแรก ๆ ที่เน้นไปที่ความเรียบง่าย (CR:Britannica)
หน้าเว็บ Amazon ยุคแรก ๆ ที่เน้นไปที่ความเรียบง่าย (CR:Britannica)

ในช่วงแรกของการเปิดตัวเว็บไซต์ต้องบอกว่า เจฟฟ์ นั้นจัดโปรโมชั่นหนักมากหวังดึงลูกค้ามาใช้อย่างเต็มที่ โดยลดราคาของหนังสือจนแทบจะไม่มีกำไรเลยด้วยซ้ำ หนังสือชื่อดังถูกนำมาลดราคาบ้างครั้งสูงถึง 40% เรียกได้ว่าในช่วงแรกนั้นยิ่งขายได้มากก็ยิ่งติดลบมาก

และปัจจัยอย่างนึงที่ทำให้ amazon นั้นดังอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจาก เจอร์รี่ หยาง CEO ของ YAHOO ในขณะนั้น ได้เห็นเว็บไซต์ amazon ในไม่กี่วันแรก หลังจากที่เว็บออนไลน์

ตอนนั้นหน้าหลักของ YAHOO มี Section ที่เรียกว่า What’s Cool Page ซึ่งเป็นส่วนแนะนำเว็บไซต์ใหม่ ๆ ที่เจ๋ง ๆ และน่าสนใจสำหรับชาว internet ซึ่งต้องบอกว่าในยุคนั้น YAHOO ถึอเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการผู้คนมักมาที่ YAHOO ก่อนเป็นดับแรกเพื่อหาเว็บไซต์ที่น่าสนใจที่ทาง YAHOO ได้ทำเป็นระบบไดเร็คทอรี่ไว้

และการขึ้นไปอยู่ในส่วนของ What’s Cool Page ของ YAHOO นั้นทำให้ amazon โด่งดังภายในพริบตาเดียวเลยก็ว่าได้ เพียงสัปดาห์แรกหลังจากถูกแนะนำใน YAHOO มีคำสั่งซื้อมูลค่ารวมกว่า 12,000 เหรียญ  หลังหลังจากนั้นอีกสัปดาห์ถัดไปก็พุ่งขึ้นไปถึง 15,000 เหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนคำสั่งซื้อที่น่าเซอไพรซ์มากสำหรับเว็บไซต์เปิดใหม่อย่าง amazon

What’s Cool Page ของ YAHOO ที่ทำให้ Amazon เริ่มมีคนรู้จัก (CR:Business Insider)
What’s Cool Page ของ YAHOO ที่ทำให้ Amazon เริ่มมีคนรู้จัก (CR:Business Insider)

ตอนที่เว็บไซต์ amazon ออนไลน์อย่างเป็นทางการนั้น ทีมงานโปรแกรมเมอร์ รวมถึง เจฟฟ์ ก็ทำการตรวจสอบในระดับหนึ่งแล้วว่า สามารถทำงานได้  แต่ พอใช้งานจริง ๆ ก็พบเจอกับหลากหลายปัญหามากเพราะจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เจฟฟ์ และทีมจึงทยอยปรับแก้ปัญหาไปเรื่อย ๆ และเจฟฟ์นั้นต้องการให้ amazon ยึดหัวหาดในตลาดหนังสือออนไลน์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ปัญหาอีกประการก็คือ ตอนนั้น เจฟฟ์ นั้นไม่ได้นึกถึงทีมงานที่จะต้องมานั่งแพ็คสินค้า หรือ จัดการด้านคลังสินค้าเลยด้วยซ้ำ แรกเริ่มเขาจึงต้องใช้ทีมงานเท่าที่มีอยู่มาช่วยกันแพ็คหนังสือลงกล่องเพื่อจัดส่งให้ลูกค้า ซึ่งต้องใช้เวลาในช่วงกลางคืนหลังจากแต่ละคนเคลียร์งานของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้บางคืนต้องทำงานกันจนถึงเกือบเช้าเพื่อจัดการคำสั่งซื้อที่เข้ามาทั้งหมด

มันเป็นการเริ่มต้นอย่างทุลักทุเลเลยก็ว่าได้ เพราะการเติบโตอย่างรวดเร็วของ amazon ทำให้ตอนนั้น เจฟฟ์ก็ยังไม่ได้วางแผนว่ามันจะเติบโตได้เร็วถึงเพียงนี้  พนักงานช่วงยุคแรกเริ่มนั้นทำงานกันหลายตำแหน่งมาก ๆ บางคนเป็นทั้งโปรแกรมเมอร์ และต้องมาตอบคำถามลูกค้าในหน้าเว็บ หรือ พนักงานบัญชีที่ต้องมานั่งช่วยแพ็คสินค้า รวมถึงจ่าหน้าสินค้า แม้กระทั่งเรื่องการ print เอกสารต่าง ๆ  พนักงานยังต้องไป print ที่ร้านข้างนอก การประชุมก็อาศัยร้านกาแฟ ที่อยู่ใกล้ ๆ ออฟฟิส เป็นที่ประชุมงาน

ถึงแม้บริษัทจะไม่มีงบโฆษณาใด  ๆเลยด้วยซ้ำในช่วงเริ่มก็ตั้ง แต่ amazon มันกลายเป็นกระแสบอกปากต่อปาก โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ มีแต่ผู้คนกล่าวถึง เว็บไซต์หน้าใหม่ไฟแรงอย่าง amazon และด้วยการที่มันขึ้นด้วยตัว A ทำให้เวลามีการเรียงลำดับเว็บไซต์ มันก็ทำให้ amazon ขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ เสมอ

ซึ่งร้านหนังสือยักษ์ใหญ่อย่างบาร์นแอนด์โนเบิล นั้นก็เริ่มเห็นกระแสของ amazon ที่เริ่มเป็นที่น่าสนใจในวงกว้างมากยิ่งขึ้น จึงได้ทำการริเริ่มสร้างเว็บไซต์มาแข่ง แต่ เจฟฟ์ และทีมงาน amazon เตรียมการเรื่องนี้ไว้อย่างดีแล้ว 

ทีมงานเร่งปรับตัวเว็บไซต์ เพิ่ม features ต่าง ๆ มากมาย ที่ไม่เคยมีเว็บไซต์ไหนทำมาก่อน ตัวอย่างเช่นการ review หรือแสดงความคิดเห็นต่อหนังสือ นั้น amazon ก็เป็นเจ้าแรก ๆ ที่ได้คิดฟังก์ชั่นนี้ขึ้นมา และสร้างเป็นเครือข่ายสังคมขนาดย่อมของคนรักหนังสือขึ้นมา ต้องบอกว่า amazon ตอนนี้ไม่ใช่เป็นแค่เพียงเว็บไซต์ขายหนังสือเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเครือข่ายสังคมรุ่นแรก ๆ สำหรับแฟนหนังสืออีกด้วย

ถือกำเนิด Affiliate Program

แนวคิดเรื่องการแบ่งรายได้ การจ่ายค่าคอมมิชชั่นสำหรับธุรกิจโดยการอ้างอิงนั้น เรียกได้ว่าเกิดมาก่อนยุค internet เสียด้วยซ้ำ

แนวคิดของ Affiliate Program บน internet เกิดขึ้นและถูกจดสิทธิบัตรโดย William J.Tobin ผู้ก่อตั้ง PC Flowers & Gifts ซึ่งในปี 1995 พวกเขาได้เปิดตัวเว็บไซต์เชิงพาณิชย์ และมีพันธมิตรทางการตลาดผ่าน Affiliate Program สูงถึง 2,600 ราย

แต่คนที่ผลักดันให้แนวคิดนี้นำมาใช้งานกันจนฉุดไม่อยู่อย่างที่เราได้เห็นใจปัจจุบัน นั่นก็คือ เจฟฟ์ เบโซส์ แห่ง amazon

เจฟฟ์ นั้นมีไอเดียใหม่ ๆ เสมอสำหรับเว็บไซต์ amazon ของเขา ในเดือน กรกฏาคม ปี 1996 มีหญิงคนหนึ่งชอบเขียนแนะนำหนังสือลงเว็บไซต์ของตนเอง และทำลิงก์มายังเว็บไซต์ของ amazon เพื่อให้สะดวกกับคนที่สนใจจะซื้อหนังสือ

เจฟฟ์เห็นไอเดียว่า การมีทราฟฟิกจากภายนอกลิงก์มายัง amazon นั้นจะช่วยสนับสนุนการขายได้อย่าดี เขาจึงตั้งโปรแกรมที่เรียกว่า โครงการพันธมิตรการขาย (Associates Program) ขึ้นมา โดยบุคคุลภายนอกที่สร้างลิงก์มายังเว็บไซต์ amazon จะได้รับค่านายหน้าจากการขายหากมีคนคลิกผ่านเว็บไซต์ของตัวเองมาสั่งซื้อหนังสือในเว็บไซต์ amazon

เจฟฟ์ได้คิดค้น amazon Associates Program ขึ้น ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการค้าออนไลน์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ที่มีเว๊บไซต์
เจฟฟ์ได้คิดค้น amazon Associates Program ขึ้น ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการค้าออนไลน์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ที่มีเว๊บไซต์

และมันยังทำให้ เครือข่ายของ amazon กระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว และถือว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สรรค์สร้างโดย เจฟฟ์ เบซอส เลยก็ว่าได้ ซึ่งแม้กระทั่งในปัจจุบันประมาณร้อยละ 2.3 ของเว็บไซต์ที่มีอยู่ทั้งหมดก็ยังใช้งาน Associates Program ของ amazon อยู่เนื่องจากผู้คนต่างไว้วางใจในการซื้อสินค้าจาก amazon

ก็ต้องบอกว่าแนวคิดเล็ก ๆ อย่างเครือข่าย Associates Program ที่นำมา implement ใช้จริงโดยเจฟฟ์ นั้นมันก็สร้าง Impact ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับ amazon มันเป็นความแตกต่างระหว่างผู้ประกอบการรุ่นใหม่อย่างเจฟฟ์กับผู้บริหารหัวโบราณที่ไม่เข้าใจและลังเลที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโลกออนไลน์ในยุคนั้นนั่นเองครับผม

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Affiliate_marketing#:~:text=The%20concept%20of%20affiliate%20marketing,on%20the%20service%20until%201996.
https://en.wikipedia.org/wiki/Amazon_(company)
https://easyaffiliate.com/blog/history-affiliate-marketing/
https://www.flickr.com/photos/163370954@N08/32878819397