Yin and Yang กับเส้นทางสู่ความสมดุลของ Apple ภายใต้การนำของ Jobs และ Cook

รถยนต์ Honda Accord เก่า ๆ สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง โดยส่งเสียงหึ่ง ๆ ท่ามกลางความว่างเปล่าอันมืดมิดบนทางด่วน 101 ผ่านเงามืดสลัวของอาคารสำนักงานบริษัท Apple

แม้ว่า Apple จะชักจูง Tim Cook ให้มาทำงานด้วยสัญญาค่าจ้างกว่า 400,000 ดอลลาร์ บวกกับโบนัสพิเศษตอนเซ็นสัญญาอีก 500,000 ดอลลาร์ แต่ Cook เองดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับรถที่เขาขับมากนัก

Cook ต้องการเพียงแค่พาหนะ 4 ล้อที่สามารถพาเขาไปที่ยิมและออฟฟิศ และกลับมาที่อพาร์ทเมนต์ที่ Palo Alto ของเขาเมื่อสิ้นสุดวันทำงาน

ในวันแรกที่เริ่มงานกับ Apple ตัว Cook เองได้เรียกประชุมทีมปฏิบัติการ เขาต้องการทราบทุกรายละเอียดเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานอันเลวร้ายที่เป็นปัญหาฝังรากลึกของ Apple

ก่อนที่ Steve Jobs จะกลับมากุมบังเหียน Apple ในวาระที่สองในปี 1997 คอมพิวเตอร์ที่ขายไม่ออกทำให้ปัญหาสินค้าคงคลังเริ่มจะกลายเป็นปัญหาร้ายแรงของ Apple

บริษัทมีโรงงานของตนเองที่แคลิฟอร์เนีย ไอร์แลนด์ และสิงคโปร์ มีชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ส่วนเกินและมีสินค้าคงคลังอยู่เก้าสิบวัน

Fred Anderson ที่เป็น CFO ในขณะนั้นได้พยายามแก้ไขปัญหางบดุลด้วยโปรแกรมที่เรียกว่า “Crossing the Canyon” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดสินค้าคงคลัง

Fred Anderson (ขวาสุด) อดีต CFO ของ Apple (CR:Business Insider)
Fred Anderson (ขวาสุด) อดีต CFO ของ Apple (CR:Business Insider)

ทีมปฏิบัติการต่างแยกย้ายกันไปหาข้อมูลโดยเร่งด่วน หลังจากที่ Jobs กลับมาเป็น CEO โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับความคืบหน้าในสิ่งที่พวกเขาทำ ในขณะเดียวกัน Cook ผู้นำฝ่ายปฏิบัติการคนใหม่ก็จะคอยเข้ามายิงคำถาม

“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? คุณหมายความว่าอย่างไร?”

มันเป็นการประชุมอย่างเข้มข้นเพื่อกำหนดแนวทางว่า Cook จะเป็นผู้นำในการปฏิรูปส่วนของการปฏิบัติการของ Apple อย่างไร

Cook ทำงานด้วยความโหดเหี้ยม พยายามเค้นข้อมูลที่ทำให้เกิดความล้มเหลวให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด และดูเหมือนว่าเขาจะซึมซับและเค้นเอาข้อมูลทั้งหมดจากลูกน้องใหม่ของเขา และสามารถเรียนรู้โครงสร้างธุรกิจได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ใคร ๆ คาดคิด

ภายในไม่กี่ปี Apple ได้ผลิตคอมพิวเตอร์แทบจะตามสั่งแทบไม่มีสินค้าคงคลังหลงเหลืออยู่เลยอีกต่อไป

มีการทาเส้นสีเหลืองตรงกลางพื้นโรงงาน ส่วนประกอบด้านหนึ่งของเส้นสีเหลืองยังอยู่ในภาระรับผิดชอบของซัพพลายเออร์จนกว่า Apple จะย้ายส่วนประกอบเหล่านั้นข้ามเส้นเพื่อประกอบเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่

บริษัทแทบจำเป็นต้องรับผิดชอบสินค้าคงคลังเหล่านี้ แม้จะพวกมันจะอยู่ในโกดังหรือโรงงานของ Apple ก็ตามที จนกว่าชิ้นส่วนจะเคลื่อนเข้าสู่สายการผลิต และแนวคิดซึ่งแหวกแนวมาก ๆ ของ Cook ในตอนนั้น ได้กลายมาเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมในภายหลัง

และภายใต้บริษัทที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้มนต์สเน่ห์ของ Steve Jobs ฝั่งของ Cook เองก็พิสูจน์ตัวเองได้อย่างรวดเร็วว่าเขากลายเป็นคนที่ Jobs ไว้ใจที่สุดที่อยู่เบื้องหลัง

Cook เป็นคนอดทนและเก็บตัว ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ เขามุ่งเน้นที่ตัวเลขและแทบจะกินสเปรดชีตเป็นอาหาร เขาทำงานหนักหลายชั่วโมง เข้ายิมก่อนรุ่งสางและทำงานจนถึงตอนเย็น

ในปีแรกที่ Cook เข้ามาดูแลทีมปฏิบัติการบริษัทลดสินค้าคงคลังจากหนึ่งเดือนเหลือเพียงแค่หกวัน หนึ่งปีต่อมาลดเหลือเพียงแค่สองวัน ซึ่งการที่ Cook สามารถรีดประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างสูงสุดมันทำให้เม็ดเงินไหลไปสู่ผลกำไรของ Apple แทบจะทันที

เมื่อเวลาผ่านไป Cook ได้เปลี่ยนวิธีการของ Apple ที่มีต่อซัพพลายเออร์ส่วนประกอบภายในของตน ซึ่งแต่เดิมนั้นจะมีหลักการ Win-Win ทั้งสองฝ่ายเป็นหลักเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน

Cook ได้สนับสนุนแนวทางที่แตกต่างออกไปนั่นคือ มุ่งมั่นอย่างไม่ลดละและแน่วแน่ในการเจรจา เขาจะมองผลประโยชน์ของ Apple เป็นหลักทั้งเรื่อง ราคา ตารางเวลาการส่งมอบ และอื่น ๆ เขาไม่เคยยอมแม้แต่เพียงเสี้ยวเดียวก็ตามที

เขาไม่สนใจสิ่งที่เหล่าซัพพลายเออร์ต้องการ เขามักจะเงียบระหว่างการเจรจาเพื่อทำให้ซัพพลายเออร์รู้สึกไม่สบายใจ บางครั้งเขาเดินทอดน่องเป็นเวลานานโดยแทบไม่พูดอะไร แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าจากนั้นบอกความต้องการที่เขาอยากจะทำ ซึ่งทุกคนบนโต๊ะเจรจามักจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด เพราะมักจะเป็นครั้งแรกที่เขาพูดในการประชุม

ซัพพลายเออร์เปรียบเทียบกลยุทธ์ของ Apple กับเทคนิคจิตวิทยาการทหาร โดยหลังจากเกือบจะสรุปข้อตกลงกับซัพพลายเออร์ชิปรายหนึ่งในช่วงกลางทศวรรษ 2000

Cook ได้โทรหาซัพพลายเออร์รายนั้นและบอกว่าเขาได้พิจารณาใหม่แล้ว

“ผมคิดว่าคุณปฏิบัติต่อเราอย่างไม่เหมาะสม และผมไม่คิดว่าเราจะเจรจากับคุณอีกต่อไป” เขากล่าว

จากนั้นเขาก็จะเงียบหายไปหลายวัน ซัพพลายเออร์เองก็เกรงจะสูญเสียดีลข้อตกลงกับ Apple ไป

“สิ่งที่ Cook หวังคือคุณจะกลับมาพร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในชั่วโมงสุดท้าย” ซัพพลายเออร์รายดังกล่าวซึ่งในท้ายที่สุดก็ทำข้อตกลงได้สำเร็จ

Cook ที่เก็บทุกรายละเอียดเสมอเมื่อต้องเจรจากับซัพพลายเออร์ (CR:PetaPixel)
Cook ที่เก็บทุกรายละเอียดเสมอเมื่อต้องเจรจากับซัพพลายเออร์ (CR:PetaPixel)

การเมืองต้องไม่เกิดขึ้น

บริษัทส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า โดยเฉพาะเรื่องการเมืองภายในบริษัท แต่ทีมปฏิบัติการของ Cook นั้นแทบจะไม่มีสิ่งนี้อยู่เลย

Cook ไม่ยอมให้การเมืองเกิดขึ้น และเขาคาดหวังให้ทุกคนร่วมมือกัน ในทุกสิ้นไตรมาส เขาจะจัดการประชุมเพื่อทบทวนว่าการดำเนินงานในส่วนใดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

ทีมผู้บริหารของ Cook จะเขียนสิ่งที่พวกเขาคิดว่าผิดพลาดลงในกระดาษโพสต์อิทและติดไว้บนไวท์บอร์ด ซึ่งอาจเป็นปัญหาง่าย ๆ มีการจัดกลุ่มของปัญหา จัดอันดับ และอภิปรายกัน ซึ่งการประชุมได้ส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบให้เกิดขึ้น

กระบวนการนี้ทำให้ Cook ได้ทีมงานที่มีคุณภาพอยู่รายรอบตัว โดยเหล่าผูจัดการระดับกลางจะมีการคัดกรองพนักงานก่อนอนุญาตให้มีนำเสนอต่อ Cook เพื่อให้แน่ใจว่าเขามีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้อง

พวกเขากลัวที่จะเสียเวลาของ Cook หากเขารู้สึกว่ามีคนที่เตรียมข้อมูลมาไม่ดีพอ เขาจะหมดความอดทนและพูดว่า “ต่อไป” ซึ่งขณะที่เขาพลิกหน้าวาระการประชุม บางคนถึงกับต้องออกจากการประชุมไปทั้งน้ำตา

ผลลัพธ์ที่ได้คือทีมที่ถูกออกแบบมาตามภาพลักษณ์ของ Cook เป็นส่วนใหญ่ ได้แก่วิศวกรและ ผู้บริหารจบ MBA ที่มีจรรยาบรรณในการทำงานที่มีความละเอียดถี่ถ้วนไม่ต่างจากเจ้านายของเขา

ถึงกระนั้น Cook ก็ยังแสวงหามุมมองที่หลากหลายจากด้านอื่น ๆ ในบริษัท เมื่อเขาไปรับตำแหน่งที่ว่างในฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งชั่วคราวได้สนับสนุนให้ Cook สัมภาษณ์คนอื่น เธอคิดว่าเธอมีสมองซีกขวาและมีอารมณ์อ่อนไหวเกินกว่าที่จะทำงานร่วมกับคนที่มีสมองซีกซ้ายและวิเคราะห์รายละเอียดอย่างเข้มงวดแบบ Cook แต่อย่างไรก็ตาม Cook ก็กระตุ้นให้เธอสมัคร

“ผมต้องการทำงานกับคนที่คิดแตกต่าง” เขากล่าว

โอกาสที่ Hewlett Packard

เมื่อ hewlett packard เริ่มค้นหา CEO คนใหม่ในปี 2005 ชื่อของ Cook ก็ติดอันดับหนึ่งในรายชื่อที่บริษัทต้องการ ความสามารถของเขาในการพลิกสถานการณ์ที่ Apple ทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่บริษัทคู่แข่ง

ที่ปรึกษาของ Jobs กลัวว่าพวกเขาจะสูญเสีย Cook ไป แต่ Jobs ลังเลใจที่จะมอบอำนาจให้กับ Cook เนื่องจากประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีตของเขา

ก่อนหน้านี้ Jobs เคยมอบตำแหน่ง CEO ให้กับ John Sculley ในปี 1983 และเป็น Sculley นี่เองที่หันมาแว้งกัด Jobs และไล่เขาออกจากบริษัทไป

แต่เมื่อถึงจุดนั้น Cook เองได้ใช้เวลา 5 ปีในการดูแลการผลิตและการขาย เหล่าทีมงานที่ปรึกษาวิงวอน Jobs ว่า “คุณจะเสียเขาไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถทำได้ในสิ่งที่ Cook ทำ เขาคิดค้นห่วงโซ่อุปทานของ Apple ขึ้นมาใหม่”

ซึ่งความกดดันดังกล่าวได้ผล บนเครื่องบินไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2005 นี่เอง Jobs ได้หันไปหา Cook แล้วพูดว่า

“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งตั้งให้คุณเป็น COO”

การเลื่อนตำแหน่งดังกล่าวทำให้ Cook ดูแล back office ทั้งหมดของ Apple และทำให้เขาสามารถเข้าร่วมคณะกรรมการบริหารของบริษัท

ความสามารถในการควบคุมเรื่องการผลิต การขาย และลอจิสติกส์ของ Cook ช่วยให้ Jobs มุ่งเน้นไปที่แกนหลักด้านความคิดสร้างสรรค์ของบริษัท ซึ่งได้แก่ การออกแบบ วิศวกรรม และการตลาด

เรียกได้ว่าพลังของหยินและหยางได้ก่อตัวขึ้นใน Apple ผลักได้ให้ Jobs พัฒนาผลิตภัณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งถัดไปของ Apple นั่นคือ iPhone

ทีมงานของ Cook ได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนมาก ๆ อย่าง iPhone มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในโรงงานของ Foxconn

มันเป็นการผสานงานที่ลงตัวในแบบที่ไม่มีใครสามารถที่จะหยุดยั้งการเติบโตของ Apple ได้อีกต่อไป คนหนึ่งใช้เวทมนตร์และการประดิษฐ์นวัตกรรมที่พลิกโลก ส่วนอีกคนหนึ่งครอบงำด้วยวิธีการและการบวนการผลิตชั้นยอดที่ยากสำหรับคู่แข่งในการต่อกร

References :
หนังสือ After Steve: How Apple Became a Trillion-Dollar Company and Lost Its Soul โดย Tripp Mickle
https://au.news.yahoo.com/2005-10-14-tim-cook-new-coo-of-apple.html
https://www.wired.com/2009/01/meet-tim-cook-h/

เทเลนอร์ เอเชีย เผยผลจากการศึกษา ชี้ตัวขับเคลื่อนทางทั้ง 5 ที่น่าสนใจเพื่อยกระดับชีวิตดิจิทัลของชาวไทยให้ดีกว่าเดิม

  • คนไทยมีการเชื่อมต่อบนโลกออนไลน์มากที่สุดของเอเชีย: โดยร้อยละ 86 ของคนไทยใช้เวลามากกว่าครึ่งวันบนโทรศัพท์มือถือ และจะมีการเพิ่มขึ้นในอีก 1 ถึง 2 ปีข้างหน้ากว่าร้อยละ 83
  • ธุรกิจไทยกำลังเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ณ ที่ทำงาน: เกือบสองในสาม หรือร้อยละ 66 เชื่อว่าการใช้ AI ในที่ทำงานจะเพิ่มขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในเอเชีย
  • โทรศัพท์มือถือถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นเครื่องมือในการจัดการค่าครองชีพที่สูงขึ้น: ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ท้าทาย โดยร้อยละ 93 ของคนไทยใช้โทรศัพท์เพื่อจัดการธุรกรรมทางการเงิน

ทั่วประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนต่าง ๆ เพื่อติดต่อสื่อสารและทำให้พวกเราทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น เสริมให้การทำงานก้าวหน้า เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และใช้ชีวิตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น ชาวไทยในหลายครัวเรือนยังเรียนรู้ที่จะปกป้องตนเองและบุคคลในครอบครัวจากความเสี่ยงและอันตรายจากโลกออนไลน์

ปัจจัยขับเคลื่อนทั้ง 5 ประการนี้มาจากการศึกษา Digital Lives Decoded ของ Telenor Asia ซึ่งถือว่าเป็นปีที่สองแล้ว การศึกษานี้สำรวจผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือมากกว่า 8,000 ราย ในประเทศบังกลาเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ซึ่งสะท้อนภาพให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจว่าการใช้โทรศัพท์มือถือช่วยให้ผู้คนทั่วเอเชียมีชีวิตดิจิทัลที่ดีขึ้นได้อย่างไร

ชาวไทยถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ตัวยงที่สุดในเอเชีย เกือบ 9 ใน 10 หรือร้อยละ 86 ที่ใช้เวลามากกว่าครึ่งวันบนมือถือ และร้อยละ 83 ที่คาดว่าจะมีการใช้งานเพิ่มขึ้นในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาคนี้เลยก็ว่าได้ ในประเทศไทย คาดการณ์ได้ว่าผู้หญิงนั้นจะมีการใช้งานมากขึ้นกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากผู้หญิงก็มีแนวโน้มที่จะใช้ทักษะและความสามารถใหม่ๆ เพื่อความก้าวหน้าในสายงานหรือริเริ่มธุรกิจของตน

ข้อค้นพบที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งในปีนี้คือ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ท้าทายและสภาพแวดล้อมที่มีสภาวะเงินเฟ้อสูง คนไทยกำลังใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อจัดการค่าครองชีพที่สูงขึ้น คนไทยร้อยละ 93 ใช้โทรศัพท์เพื่อจัดการธุรกรรมทางการเงิน และส่วนใหญ่ใช้มือถือเพื่อเปรียบเทียบราคา (ร้อยละ 74) ค้นหาข้อเสนอที่ดีที่สุด (ร้อยละ 64) หรือติดตามการใช้จ่าย (ร้อยละ 49) ทั้งนี้อีกร้อยละ 93 ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อจัดการธุรกรรมทางการเงินทุกสัปดาห์ และ อีกร้อยละ 55 กำลังที่จะลงทุนออนไลน์เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่

คุณ Petter-Børre Furberg (เพตเตอร์ บอเร่ เฟอร์เบิร์ค), EVP and Head of Telenor Asia ได้กล่าวว่า “การศึกษาเรื่อง Digital Lives Decoded ครั้งแรกของเราเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่โลกกำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดไปทั่วโลกของโรคโควิด-19 และกระแสการใช้งานทางด้านดิจิทัลก็ได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้คนยังคงมีทัศนคติเชิงบวกอย่างท่วมท้นเกี่ยวกับผลกระทบที่การเชื่อมต่อผ่านมือถือเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตของพวกเขา และในปีนี้ จากการศึกษาได้สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นซึ่งนั้นก็แสดงให้เห็นถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเช่นกัน เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการทำงานในทุก ๆ วันนี้กลายเป็นแรงผลักดันหลักในการเพิ่มการใช้งาน เนื่องจากคนไทยต้องการที่จะแสวงหาวิธีการใหม่ๆ ที่นำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพ ประสิทธิภาพการทำงาน และเนื้องานของพวกเขา เพื่อยกระดับทักษะและความสามารถ อีกทั้งเสริมการเข้าถึงแหล่งรายได้เพิ่มเติม

คุณ Petter-Børre Furberg (เพตเตอร์ บอเร่ เฟอร์เบิร์ค), EVP and Head of Telenor Asia

เนื่องจากเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตของคนไทยมากขึ้น หลากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นต้องเข้าใจผู้คนและรู้ถึงข้อเสียที่อาจจะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการเข้ามาของเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งเพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของอุปกรณ์พกพาเหล่านี้ เราต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเครือข่ายการเชื่อมต่อ ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ และเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น”

  1. การสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมออนไลน์ที่ดี

ในขณะที่ประเทศไทยมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นจากโรคระบาด แนวโน้มในการใช้งานอุปกรณ์ของผู้คนก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น การใช้มือถือทำให้คนไทยรู้สึกได้รับข้อมูลข่าวสารและยังคงเชื่อมต่อการสื่อสารเข้าหากัน โดย Facebook ยังคงเป็นแอปพลิเคชัน ยอดนิยมในการเชื่อมต่อกับกลุ่มคน (ร้อยละ 57) และรับข้อมูลข่าวสาร (ร้อยละ 52) อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในระยะเริ่มแรก โดยเกือบหนึ่งในแปดของเยาวชนไทยที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 29 ปีได้รับข่าวสารจาก TikTok

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงระบบ 5G เหตุผลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดที่ผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยระบุไว้คือการสตรีมวิดีโอหรือเพลง (ร้อยละ 84) ทำงานหรือเรียน (ร้อยละ 69) และเล่นเกม (ร้อยละ 66)

การเล่นเกมบนมือถือยังคงเป็นกิจกรรมอดิเรกยอดนิยม และผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะใช้โทรศัพท์เพื่อเล่นเกม โดยเกือบครึ่งของผู้เข้าร่วมให้ข้อมูลของรายงานหรือร้อยละ 44 กล่าวว่าพวกเขาใช้อุปกรณ์มือถือเพื่อเล่นเกมส์ในทุกๆวัน โดยค่าเฉลี่ยของระดับภูมิภาคที่อยู่ที่ร้อยละ 30

คนไทยถึงสามในสี่รู้สึกว่าตนมีสมดุลที่ดีในการใช้เทคโนโลยีและไม่ได้มีการใช้งานที่มากเกินไป อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้มือถือชาวไทยมีแนวโน้มที่จะรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าผู้ใช้ในระดับภูมิภาค เมื่อไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือได้ถึงร้อยละ 55 เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาคจะอยู่ที่ร้อยละ 39

  1. การปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ในที่ทำงาน

ผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยเกือบครึ่งเชื่อว่าการใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่สามารถช่วยส่งเสริมให้พวกเขามีความก้าวหน้าในการทำงานได้ (ร้อยละ 53) ช่วยในการเปลี่ยนอาชีพ (ร้อยละ 37) หรือการจัดตั้งธุรกิจของตนเอง (ร้อยละ 31) ซึ่งเป็นรากฐานของศักยภาพอันมหาศาลของการเชื่อมต่อผ่านมือถือ

ผู้ตอบแบบสอบถามยังคาดหวังการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อเร่งการทำงานในสถานที่ทำงาน สองในสามเชื่อว่าการใช้ generative AI ในการทำงานจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในอีก 6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเป็นสิ่งสำคัญในสถานที่ทำงาน และเกือบครึ่งหวังว่าจะได้เรียนรู้และเข้าใจในทักษะที่จำเป็นเพื่อสามารถใช้งานและเข้าถึงเครื่องมือ generative AI เพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขันในอาชีพการงานของพวกเขา

ธุรกิจในไทยยังคงเปิดรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยกว่าร้อยละ 82 ระบุว่าองค์กรของพวกเขาสนับสนุนให้พนักงานใช้ generative AI ในที่ทำงาน มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่บอกว่าองค์กรของตนห้ามหรือไม่สนับสนุนการใช้ AI ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่ทำการสำรวจ ซึ่งค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 15

  1. ประสบการณ์บนโลกออนไลน์ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

คนไทยมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยบนโทรศัพท์น้อยที่สุดจากผลสำรวจซึ่งมีความโดดเด่นกว่าคู่แข่งในระดับภูมิภาคเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยในกลุ่มที่เป็นผู้ตอบแบบสอบถามอันดับต้น ๆ กล่าวว่าพวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ถึงร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในระดับภูมิภาคอยู่ที่เพียงร้อยละ 8 เท่านั้น

อย่างไรก็ตามชาวไทยมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ของผู้สูงอายุ (ร้อยละ 75) และ เด็กเยาวชน (ร้อยละ 72) โดยพวกเขาเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดในการให้ความรู้แก่สมาชิกในครอบครัวเกี่ยวกับความปลอดภัยทางออนไลน์คือการให้แนวทางสำหรับพฤติกรรมออนไลน์ (ร้อยละ 71) และการพูดคุยอย่างเปิดเผย (ร้อยละ 61) 

อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยมีการให้แสดงความกังวลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล (ร้อยละ 77) โดยเป็นการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว (ร้อยละ 69) และการคุกคามทางออนไลน์ (ร้อยละ 57) และบ่อยครั้งที่พวกเขาเผชิญกับข่าวปลอม การหลอกลวง และความรู้สึกติดกับโลกออนไลน์ ซึ่งพวกเขายังเผชิญกับการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในระดับสูงสุดในภูมิภาค โดยเกือบครึ่ง (ร้อยละ 47) รายงานว่าพวกเขาประสบปัญหานี้อย่างน้อยเดือนละครั้ง

  1. เข้าถึงการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง

การใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่เอื้อต่อโอกาสในการยกระดับทักษะและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ทั่วประเทศไทย เกินครึ่งของผู้เข้าร่วม (ร้อยละ 57) ของผู้ตอบแบบสำรวจในปีนี้กล่าวว่าอุปกรณ์เคลื่อนที่ของตนยังคงเปิดประตูสู่การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ซึ่งเป็นที่น่าสนใจที่เกือบร้อยละ 91 ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาใช้มือถือเพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

โดยการเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ สามารถแบ่งได้ดังนี้ ทักษะด้านการสื่อสาร เช่น การเรียนรู้ภาษาใหม่ (ร้อยละ 67) และการจัดการโซเชียลมีเดีย (ร้อยละ 63) ซึ่งกลายเป็นทักษะที่ต้องการมากที่สุดในการเรียนรู้ผ่านอุปกรณ์มือถือ ทั้งนี้ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้การจัดการโซเชียลมีเดียของคนไทยมีความโดดเด่นเป็นอันดับที่สูงที่สุดในการสำรวจ

โดยกว่าร้อยละ 72 กล่าวว่าพวกเขาต้องการใช้ทักษะที่มีเพื่อหารายได้เพิ่มเติม และแหล่งรายได้ใหม่ยอดนิยมที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่มาจากการลงทุนออนไลน์ (ร้อยละ 55) การขายในตลาดออนไลน์ (ร้อยละ 40) และการกลายเป็นนักสร้างคอนเทนต์ (ร้อยละ 38)

  1. การลดผลกระทบของเราที่มีต่อโลก

ร้อยละ 71 ของผู้ตอบแบบสำรวจรู้สึกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ยั่งยืนมากขึ้นโดยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขนส่งสาธารณะ ลดความจำเป็นในการเดินทาง และลดการใช้กระดาษ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 72) แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้โทรศัพท์มือถือ แต่มีเพียงหนึ่งในสิบคนเท่านั้นที่ไม่ตระหนักถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากโทรศัพท์มือถือของตนเลย

ความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงที่สุดในหมู่คนไทยในกลุ่มช่วงอายุ 18-29 ปี โดยร้อยละ 64 ระบุว่าตนตระหนักรู้ดี และ ร้อยละ 42 ระบุว่าตนกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อสภาพภูมิอากาศ 4ใน 10 คนในกลุ่มอายุนี้กล่าวว่าสภาพภูมิอากาศและตำแหน่งความยั่งยืนของผู้ให้บริการโทรคมนาคมมีความสำคัญมากสำหรับพวกเขา และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเลือกผู้ให้บริการของพวกเขา