รถยนต์ Honda Accord เก่า ๆ สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง โดยส่งเสียงหึ่ง ๆ ท่ามกลางความว่างเปล่าอันมืดมิดบนทางด่วน 101 ผ่านเงามืดสลัวของอาคารสำนักงานบริษัท Apple
แม้ว่า Apple จะชักจูง Tim Cook ให้มาทำงานด้วยสัญญาค่าจ้างกว่า 400,000 ดอลลาร์ บวกกับโบนัสพิเศษตอนเซ็นสัญญาอีก 500,000 ดอลลาร์ แต่ Cook เองดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับรถที่เขาขับมากนัก
Cook ต้องการเพียงแค่พาหนะ 4 ล้อที่สามารถพาเขาไปที่ยิมและออฟฟิศ และกลับมาที่อพาร์ทเมนต์ที่ Palo Alto ของเขาเมื่อสิ้นสุดวันทำงาน
ในวันแรกที่เริ่มงานกับ Apple ตัว Cook เองได้เรียกประชุมทีมปฏิบัติการ เขาต้องการทราบทุกรายละเอียดเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานอันเลวร้ายที่เป็นปัญหาฝังรากลึกของ Apple
ก่อนที่ Steve Jobs จะกลับมากุมบังเหียน Apple ในวาระที่สองในปี 1997 คอมพิวเตอร์ที่ขายไม่ออกทำให้ปัญหาสินค้าคงคลังเริ่มจะกลายเป็นปัญหาร้ายแรงของ Apple
บริษัทมีโรงงานของตนเองที่แคลิฟอร์เนีย ไอร์แลนด์ และสิงคโปร์ มีชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ส่วนเกินและมีสินค้าคงคลังอยู่เก้าสิบวัน
Fred Anderson ที่เป็น CFO ในขณะนั้นได้พยายามแก้ไขปัญหางบดุลด้วยโปรแกรมที่เรียกว่า “Crossing the Canyon” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดสินค้าคงคลัง
ทีมปฏิบัติการต่างแยกย้ายกันไปหาข้อมูลโดยเร่งด่วน หลังจากที่ Jobs กลับมาเป็น CEO โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับความคืบหน้าในสิ่งที่พวกเขาทำ ในขณะเดียวกัน Cook ผู้นำฝ่ายปฏิบัติการคนใหม่ก็จะคอยเข้ามายิงคำถาม
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? คุณหมายความว่าอย่างไร?”
มันเป็นการประชุมอย่างเข้มข้นเพื่อกำหนดแนวทางว่า Cook จะเป็นผู้นำในการปฏิรูปส่วนของการปฏิบัติการของ Apple อย่างไร
Cook ทำงานด้วยความโหดเหี้ยม พยายามเค้นข้อมูลที่ทำให้เกิดความล้มเหลวให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด และดูเหมือนว่าเขาจะซึมซับและเค้นเอาข้อมูลทั้งหมดจากลูกน้องใหม่ของเขา และสามารถเรียนรู้โครงสร้างธุรกิจได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ใคร ๆ คาดคิด
ภายในไม่กี่ปี Apple ได้ผลิตคอมพิวเตอร์แทบจะตามสั่งแทบไม่มีสินค้าคงคลังหลงเหลืออยู่เลยอีกต่อไป
มีการทาเส้นสีเหลืองตรงกลางพื้นโรงงาน ส่วนประกอบด้านหนึ่งของเส้นสีเหลืองยังอยู่ในภาระรับผิดชอบของซัพพลายเออร์จนกว่า Apple จะย้ายส่วนประกอบเหล่านั้นข้ามเส้นเพื่อประกอบเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่
บริษัทแทบจำเป็นต้องรับผิดชอบสินค้าคงคลังเหล่านี้ แม้จะพวกมันจะอยู่ในโกดังหรือโรงงานของ Apple ก็ตามที จนกว่าชิ้นส่วนจะเคลื่อนเข้าสู่สายการผลิต และแนวคิดซึ่งแหวกแนวมาก ๆ ของ Cook ในตอนนั้น ได้กลายมาเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมในภายหลัง
และภายใต้บริษัทที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้มนต์สเน่ห์ของ Steve Jobs ฝั่งของ Cook เองก็พิสูจน์ตัวเองได้อย่างรวดเร็วว่าเขากลายเป็นคนที่ Jobs ไว้ใจที่สุดที่อยู่เบื้องหลัง
Cook เป็นคนอดทนและเก็บตัว ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ เขามุ่งเน้นที่ตัวเลขและแทบจะกินสเปรดชีตเป็นอาหาร เขาทำงานหนักหลายชั่วโมง เข้ายิมก่อนรุ่งสางและทำงานจนถึงตอนเย็น
ในปีแรกที่ Cook เข้ามาดูแลทีมปฏิบัติการบริษัทลดสินค้าคงคลังจากหนึ่งเดือนเหลือเพียงแค่หกวัน หนึ่งปีต่อมาลดเหลือเพียงแค่สองวัน ซึ่งการที่ Cook สามารถรีดประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างสูงสุดมันทำให้เม็ดเงินไหลไปสู่ผลกำไรของ Apple แทบจะทันที
เมื่อเวลาผ่านไป Cook ได้เปลี่ยนวิธีการของ Apple ที่มีต่อซัพพลายเออร์ส่วนประกอบภายในของตน ซึ่งแต่เดิมนั้นจะมีหลักการ Win-Win ทั้งสองฝ่ายเป็นหลักเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
Cook ได้สนับสนุนแนวทางที่แตกต่างออกไปนั่นคือ มุ่งมั่นอย่างไม่ลดละและแน่วแน่ในการเจรจา เขาจะมองผลประโยชน์ของ Apple เป็นหลักทั้งเรื่อง ราคา ตารางเวลาการส่งมอบ และอื่น ๆ เขาไม่เคยยอมแม้แต่เพียงเสี้ยวเดียวก็ตามที
เขาไม่สนใจสิ่งที่เหล่าซัพพลายเออร์ต้องการ เขามักจะเงียบระหว่างการเจรจาเพื่อทำให้ซัพพลายเออร์รู้สึกไม่สบายใจ บางครั้งเขาเดินทอดน่องเป็นเวลานานโดยแทบไม่พูดอะไร แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าจากนั้นบอกความต้องการที่เขาอยากจะทำ ซึ่งทุกคนบนโต๊ะเจรจามักจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด เพราะมักจะเป็นครั้งแรกที่เขาพูดในการประชุม
ซัพพลายเออร์เปรียบเทียบกลยุทธ์ของ Apple กับเทคนิคจิตวิทยาการทหาร โดยหลังจากเกือบจะสรุปข้อตกลงกับซัพพลายเออร์ชิปรายหนึ่งในช่วงกลางทศวรรษ 2000
Cook ได้โทรหาซัพพลายเออร์รายนั้นและบอกว่าเขาได้พิจารณาใหม่แล้ว
“ผมคิดว่าคุณปฏิบัติต่อเราอย่างไม่เหมาะสม และผมไม่คิดว่าเราจะเจรจากับคุณอีกต่อไป” เขากล่าว
จากนั้นเขาก็จะเงียบหายไปหลายวัน ซัพพลายเออร์เองก็เกรงจะสูญเสียดีลข้อตกลงกับ Apple ไป
“สิ่งที่ Cook หวังคือคุณจะกลับมาพร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในชั่วโมงสุดท้าย” ซัพพลายเออร์รายดังกล่าวซึ่งในท้ายที่สุดก็ทำข้อตกลงได้สำเร็จ
การเมืองต้องไม่เกิดขึ้น
บริษัทส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า โดยเฉพาะเรื่องการเมืองภายในบริษัท แต่ทีมปฏิบัติการของ Cook นั้นแทบจะไม่มีสิ่งนี้อยู่เลย
Cook ไม่ยอมให้การเมืองเกิดขึ้น และเขาคาดหวังให้ทุกคนร่วมมือกัน ในทุกสิ้นไตรมาส เขาจะจัดการประชุมเพื่อทบทวนว่าการดำเนินงานในส่วนใดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ทีมผู้บริหารของ Cook จะเขียนสิ่งที่พวกเขาคิดว่าผิดพลาดลงในกระดาษโพสต์อิทและติดไว้บนไวท์บอร์ด ซึ่งอาจเป็นปัญหาง่าย ๆ มีการจัดกลุ่มของปัญหา จัดอันดับ และอภิปรายกัน ซึ่งการประชุมได้ส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบให้เกิดขึ้น
กระบวนการนี้ทำให้ Cook ได้ทีมงานที่มีคุณภาพอยู่รายรอบตัว โดยเหล่าผูจัดการระดับกลางจะมีการคัดกรองพนักงานก่อนอนุญาตให้มีนำเสนอต่อ Cook เพื่อให้แน่ใจว่าเขามีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้อง
พวกเขากลัวที่จะเสียเวลาของ Cook หากเขารู้สึกว่ามีคนที่เตรียมข้อมูลมาไม่ดีพอ เขาจะหมดความอดทนและพูดว่า “ต่อไป” ซึ่งขณะที่เขาพลิกหน้าวาระการประชุม บางคนถึงกับต้องออกจากการประชุมไปทั้งน้ำตา
ผลลัพธ์ที่ได้คือทีมที่ถูกออกแบบมาตามภาพลักษณ์ของ Cook เป็นส่วนใหญ่ ได้แก่วิศวกรและ ผู้บริหารจบ MBA ที่มีจรรยาบรรณในการทำงานที่มีความละเอียดถี่ถ้วนไม่ต่างจากเจ้านายของเขา
ถึงกระนั้น Cook ก็ยังแสวงหามุมมองที่หลากหลายจากด้านอื่น ๆ ในบริษัท เมื่อเขาไปรับตำแหน่งที่ว่างในฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งชั่วคราวได้สนับสนุนให้ Cook สัมภาษณ์คนอื่น เธอคิดว่าเธอมีสมองซีกขวาและมีอารมณ์อ่อนไหวเกินกว่าที่จะทำงานร่วมกับคนที่มีสมองซีกซ้ายและวิเคราะห์รายละเอียดอย่างเข้มงวดแบบ Cook แต่อย่างไรก็ตาม Cook ก็กระตุ้นให้เธอสมัคร
“ผมต้องการทำงานกับคนที่คิดแตกต่าง” เขากล่าว
โอกาสที่ Hewlett Packard
เมื่อ hewlett packard เริ่มค้นหา CEO คนใหม่ในปี 2005 ชื่อของ Cook ก็ติดอันดับหนึ่งในรายชื่อที่บริษัทต้องการ ความสามารถของเขาในการพลิกสถานการณ์ที่ Apple ทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่บริษัทคู่แข่ง
ที่ปรึกษาของ Jobs กลัวว่าพวกเขาจะสูญเสีย Cook ไป แต่ Jobs ลังเลใจที่จะมอบอำนาจให้กับ Cook เนื่องจากประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีตของเขา
ก่อนหน้านี้ Jobs เคยมอบตำแหน่ง CEO ให้กับ John Sculley ในปี 1983 และเป็น Sculley นี่เองที่หันมาแว้งกัด Jobs และไล่เขาออกจากบริษัทไป
แต่เมื่อถึงจุดนั้น Cook เองได้ใช้เวลา 5 ปีในการดูแลการผลิตและการขาย เหล่าทีมงานที่ปรึกษาวิงวอน Jobs ว่า “คุณจะเสียเขาไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถทำได้ในสิ่งที่ Cook ทำ เขาคิดค้นห่วงโซ่อุปทานของ Apple ขึ้นมาใหม่”
ซึ่งความกดดันดังกล่าวได้ผล บนเครื่องบินไปญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2005 นี่เอง Jobs ได้หันไปหา Cook แล้วพูดว่า
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งตั้งให้คุณเป็น COO”
การเลื่อนตำแหน่งดังกล่าวทำให้ Cook ดูแล back office ทั้งหมดของ Apple และทำให้เขาสามารถเข้าร่วมคณะกรรมการบริหารของบริษัท
ความสามารถในการควบคุมเรื่องการผลิต การขาย และลอจิสติกส์ของ Cook ช่วยให้ Jobs มุ่งเน้นไปที่แกนหลักด้านความคิดสร้างสรรค์ของบริษัท ซึ่งได้แก่ การออกแบบ วิศวกรรม และการตลาด
เรียกได้ว่าพลังของหยินและหยางได้ก่อตัวขึ้นใน Apple ผลักได้ให้ Jobs พัฒนาผลิตภัณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งถัดไปของ Apple นั่นคือ iPhone
ทีมงานของ Cook ได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนมาก ๆ อย่าง iPhone มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในโรงงานของ Foxconn
มันเป็นการผสานงานที่ลงตัวในแบบที่ไม่มีใครสามารถที่จะหยุดยั้งการเติบโตของ Apple ได้อีกต่อไป คนหนึ่งใช้เวทมนตร์และการประดิษฐ์นวัตกรรมที่พลิกโลก ส่วนอีกคนหนึ่งครอบงำด้วยวิธีการและการบวนการผลิตชั้นยอดที่ยากสำหรับคู่แข่งในการต่อกร
References :
หนังสือ After Steve: How Apple Became a Trillion-Dollar Company and Lost Its Soul โดย Tripp Mickle
https://au.news.yahoo.com/2005-10-14-tim-cook-new-coo-of-apple.html
https://www.wired.com/2009/01/meet-tim-cook-h/