นิซาร์ อัล บาสซาม พยายามที่จะทำธุรกิจกับ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มาโดยตลอด และในปี 2016 ที่โตเกียวเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นเขากำลังจะได้รับโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิต
นิซาร์ ทำงานที่ Deutsche Bank จนถึงปลายปี 2015 เขาเป็นคนเชี่ยวชาญในการเข้าถึงคนที่มีอำนาจผ่านเสน่ห์ส่วนตัวของเขา ตัวนิซาร์เองเกิดที่เมือง Dhahran บิดาของเขาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Aramco กระทั่งได้เสียชีวิตไปในปี 2007
นิซาร์เติบโตในย่านที่อยู่อาศัยที่มีรั้วรอบขอบชิดของ Aramco ซึ่งจำลองมาจากย่านชานเมืองของสหรัฐอเมริกาที่มีสนามหญ้าด้านหน้า เขาใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เข้าโรงเรียนที่นั่นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จากนั้นมาเรียนต่อที่โรงเรียนประจำมิดเดิลเซกซ์ในแมสซาชูเซตส์และวิทยาลัยโคลบีในรัฐเมน เขาได้กลายเป็นคนอเมริกันทีมีวัฒนธรรมเช่นเดียวกับซาอุฯ
โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียกำลังมีแนวคิดสำคัญที่จะเปลี่ยนเงินทุนที่ได้จากการทำ IPO ของ Aramco ให้กลายมาเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ
นอกเหนือจากโอกาสทางด้านการเงินแล้ว โมฮัมเหม็ดเองก็กำลังเปิดประเทศสู่การท่องเที่ยวครั้งใหญ่ สำหรับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของประเทศนี้ ไม่ได้สนใจเรื่องการท่องเที่ยวมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดให้สำหรับผู้เดินทางไปแสวงบุญที่เมกกะเป็นส่วนใหญ่
แต่โมฮัมเหม็ดคิดต่างออกไป เขาเห็นศักยภาพที่ซาอุดิอาระเบียจะกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกได้
อาณาจักรซาอุดิอาระเบียมีชายฝั่งทะเลยาว 1,200 ไมล์ รวมถึงแนวปะการังที่มีชื่อเสียง ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกอนุรักษ์ไว้ แทบจะไม่มีใครเข้ามารุกรานแนวปะการังที่สวยงามเหล่านี้ รวมถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น Madain Saleh อายุสองพันปีที่มีสุสานอันวิจิตรที่แกะสลักเป็นหินทรายขนาดใหญ่โดยชาว Nabateans
เจ้าชายโมฮัมเหม็ดได้ริเริ่มโครงการต่าง ๆ รวมถึงรีสอร์ทริมชายหาดจำนวนมากที่เรียกว่าโครงการทะเลแดง นอกจากนี้เขายังเริ่มสร้างห้องแสดงคอนเสิร์ตขนาดยักษ์ใกล้ ๆ กับซากปรักหักพังของ Nabatean รวมถึง เมืองแห่งความบันเทิง ที่ใหญ่พอ ๆ กับลาสเวกัสนอกริยาด ที่เรียกว่า Qiddiya
เจ้าชายโมฮัมเหม็ดได้ริเริ่มโครงการต่าง ๆ รวมถึงรีสอร์ทริมชายหาดจำนวนมากที่เรียกว่าโครงการทะเลแดง นอกจากนี้เขายังเริ่มสร้างห้องแสดงคอนเสิร์ตขนาดยักษ์ใกล้ ๆ กับซากปรักหักพังของ Nabatean รวมถึง เมืองแห่งความบันเทิง ที่ใหญ่พอ ๆ กับลาสเวกัสนอกริยาด ที่เรียกว่า Qiddiya
ต้องบอกว่าโมฮัมเหม็ดได้กลายเป็นเจ้าชายหนุ่มที่มีอำนาจควบคุมประเทศของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมด้วยเงินจำนวนมหาศาลไว้เพื่อการลงทุนปฏิรูปประเทศซาอุดิอาระเบียเพื่อเข้าสู่ยุคใหม่
ในตอนแรก นิซาร์ ต้องการให้ Deutsche Bank เป็นตัวเลือกแรกสำหรับเงินกองทุนของโมฮัมเหม็ด แต่ในช่วงปลายปี 2015 เขาได้ออกจากงาน และตั้งบริษัทที่ปรึกษาร่วมกับพันธมิตรที่เป็นอดีตนายธนาคารจาก Goldman Sachs Group
ซึ่งหนึ่งในแนวคิดของบริษัทใหม่ของ นิซาร์ ก็คือการพยายามเข้าถึงแหล่งเงินมหาศาลของตะวันออกกลาง โดยในการหาคู่ค้า นิซาร์ และเพื่อร่วมงานของเขาได้เริ่มพูดคุยกับ ราจีฟ มิสรา ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินเชิงกลยุทธ์ของ Softbank Corp จากญี่ปุ่น
วิศวกรการเงินผู้เย่อหยิ่งที่มีรสนิยมชอบหนี้สินและความเสี่ยง ราจีฟ เคยเป็นนายธนาคารอาวุโสของ Deutsche Bank ในช่วงวิกฤติการเงิน โดยเขาดูแลทีมที่ทำกำไรจากการเดิมพันในตลาดที่อยู่อาศัย หลังจากนั้นเขาได้มาร่วมงานกับ UBS ต่อด้วย Fortress Investment Group ก่อนจะมาลงเอยที่ SoftBank
ราจีฟ ได้มาเจอกับ Masayoshi Son ผู้ก่อตั้งที่หลงใหลในเทคโนโลยีของ SoftBank ในงานแต่งงานแห่งหนึ่งที่ประเทศอิตาลี และต่อมาได้เข้ามารับงานช่วย Masayoshi พัฒนาโครงสร้างหนี้ที่ซับซ้อนเพื่อรองรับความทะเยอทะยานครั้งใหม่ของ Masayoshi
Masayoshi ชายชาวญี่ปุ่นเชื้อสายเกาหลี กลายเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในช่วงสั้น ๆ ที่จุดสูงสุดของฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 การลงทุนใน Alibaba ของ Jack Ma มูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ ได้สร้างมูลค่าเพิ่มเป็น 74,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อ Alibaba ทำ IPO สู่สาธารณะชนในปี 2014
Masayoshi กำลังต้องการเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยความเชื่อของเขาที่ว่าโลกเรากำลังเร่งไปสู่ “Singularity” ด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี AI ที่การเติบโตทางด้านเทคโนโลยีจะก้าวกระโดด จนเปลี่ยนโลกไปในแบบที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน
SoftBank ของ Masayoshi ได้ก่อตั้งบริษัทลูก FAB Partners และ นิซาร์ ก็ได้เข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแนวคิดที่เรียกว่า Project Crystal Ball สำหรับกองทุนมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ ที่จะลงทุนในกิจการ Startup ด้านเทคโนโลยี
โดยพวกเขาตัดสินใจที่จะเสนอแนวความคิดดังกล่าวให้กับกาตาร์ก่อน ซึ่ง นิซาร์ มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นอยู่แล้วกับกาตาร์ แต่เมื่อ Masayoshi มาถึงในเวลาตี 4 ของวันที่ 28 สิงหาคม 2016 ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว
นิซาร์ก็ต้องตกตะลึง เพราะในระหว่างการเดินทาง Masayoshi และผู้ช่วยของเขาได้ทำการปรับแต่งบางอย่าง มีการปรับแต่งตัวเลขเม็ดเงินลงทุนให้สูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะกลายเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
แม้ชาวกาตาร์จะประทับใจกับความเชื่อมั่นของ Masayoshi แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากการหารืออย่างเป็นทางการ ทีมยังต้องการเงินจำนวนมากเพื่อบรรลุเป้าหมาย 100,000 ล้านดอลลาร์
นิซาร์ เชื่อว่า ทางออกที่ดีที่สุด ควรมุ่งไปหาซาอุดิอาระเบีย โดยเฉพาะ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และเป็นเรื่องโชคดีมาก ๆ ที่ โมฮัมเหม็ดมีแผนการที่จะเดินทางมาโตเกียวภายในไม่กี่วันหลังจากที่พวกเขาได้คุยกับกลุ่มจากกาตาร์
ต้องบอกว่าเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่โมฮัมเหม็ด และทีมงานด้านการลงทุนแสดงความเต็มใจที่จะพบกับ Masayoshi แต่ดูเหมือนยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นิซาร์จึงเป็นสะพานเชื่อมเพื่อให้อย่างน้อย Masayoshi ได้มีโอกาสได้ไปพบเจอกับทีมงานของโมฮัมเหม็ด
ในวันที่โมฮัมเหม็ดมาถึงโตเกียว นิซาร์ พบว่าโทรศัพท์สั่นอยู่ที่หน้าอก เขาหลับไปพร้อมกับมัน เป็นสายของ ยาซีร์ หัวหน้าการลงทุนของโมฮัมเหม็ด ซึ่งในที่สุดนีซาร์ก็ได้ติดต่อให้ ยาซีร์มาพบกับ Masayoshi ได้สำเร็จ และ ยาซีร์เองก็สนใจ เขากล่าวว่า “สิ่งนี้น่าสนใจ ผมต้องหารือกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด” ยาซีร์บอกกับพวกเขาในตอนท้าย
ในที่สุด โมฮัมเหม็ด ก็ตกลงมาพบกับ Masayoshi ที่เกสต์เฮาส์ของรัฐชื่อ Geihinkan ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางไปญีปุ่น และเป็นการเดิมพันที่สูงมาก ๆ ของ Masayoshi หากไม่ได้เงินทุนจากโมฮัมเหม็ด ก็ไม่สามารถที่จะทำตามควาทะเยอทะยานที่ Masayoshi ต้องการได้
การประชุมเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงโมฮัมเหม็ดและที่ปรึกษาคนสำคัญของเขาร่วมกับทีมของ SoftBank ขนาดเล็กที่นำโดย Masayoshi ส่วน นิซาร์นั้นรออยู่ข้างนอก
หลังจากที่ Masayoshi ได้นำเสนอผ่าน iPad โดยโมฮัมเหม็ดกล่าวว่า เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดนี้กับทีมงานของเขาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และต้องการเป็นนักลงทุนหลักที่สำคัญของกองทุนใหม่นี้
เขาต้องการให้ซาอุดิอาระเบียเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีระดับโลก และเป็นวิธีการที่จะดึงดูด บริษัทที่มีนวัตกรรมมาสู่ประเทศของเขา ในขณะเดียวกันก็ยังได้รับผลตอบแทนจากการเปลี่ยนจากธุรกิจน้ำได้มันอีกด้วย และแน่นอนมันสอดคล้องกับ Vision 2030 ของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
นิซาร์ต้องตกตะลึง เมื่อ Masayoshi ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการปิด Deal ดังกล่าว โดยได้รับเงินทุนก้อนแรกจากโมฮัมเหม็ด 45,000 ล้านดอลลาร์ เขาคิดว่าต้องใช้เวลาหลายในเดือนในการทำข้อตกลงมูลค่ามหาศาลแบบนี้ ก่อนการประชุมสิ้นสุดลง โมฮัมเหม็ดกล่าวว่า เขาต้องการให้ Masayoshi ใช้เวลา 2-3 วันเพื่อเดินทางมายังซาอุดิอาระเบีย
จบ Deal นี้ Masayoshi ก็แถลงตามสไตล์ของเขา การปิด Deal ข้อตกลงมูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์ในเวลา 45 นาที ด้วยวาทะของเขาสามารถที่จะดึงดูดเงินจากโมฮัมเหม็ดได้ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อนาที
Project Crystal Ball ซึ่งเป็นงานนำเสนอ PowerPoint กำลังจะกลายเป็น Vision Fund ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มุ้งเน้นไปที่เทคโนโลยีในประวัติศาสตร์การเงินของโลก
Vision Fund ได้กลายเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต ทั้งทางด้าน AI , Robot และ Internet of Things และเข้าไปลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่กำลังมาแรงจำนวนมากมาย เช่น OYO , Paytm , WeWork , Didi , Uber , Ola , Flipkart และบริษัทอื่น ๆ อีกกว่า 83 บริษัท
อีกหนึ่งปีถัดมา Masayoshi ได้เปิดเผยถึงความสำเร็จอันน่าทึ่งดังกล่าวนี้ว่าเขาทำได้อย่างไรกับ David Rubenstein จาก Bloomberg
“ผมได้บอกกับ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานว่า ผมจะให้ของขวัญแก่คุณ ของขวัญจาก Masayoshi มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ คุณลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ ผมจะทำให้มันกลายเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์”
References :
หนังสือ Blood and Oil – Mohammed Bin Salman’s Ruthless Quest for Global Power โดย Bradley Hope และ Justin Scheck
https://www.indiatimes.com/worth/investment/how-masayoshi-son-raised-forty-five-billion-dollar-in-forty-five-minutes-560554.html
https://thepangean.com/Lost-Vision
https://www.economist.com/business/2019/03/23/masayoshi-son-prepares-to-unleash-his-second-100bn-tech-fund