5 บทเรียนกับการท้าทายความสำเร็จของ Netflix จาก Disney

สถานการณ์ของการแข่งขันในวงการสตรีมมิ่ง เริ่มใกล้เข้าถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อ Netflix ที่เป็นผู้นำแบบไร้คู่แข่งมานานแสนนาน แต่การที่ Disney กล่าวเมื่อต้นสัปดาห์นี้เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นอย่างมากของสมาชิกถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

เรียกได้ว่าเป็นไตรมาสเดียวกันกับที่ Netflix สูญเสียสมาชิกไปเกือบ 1 ล้านคนเป็นที่ชัดเจนว่าปัญหาการการยกเลิกสมาชิกที่ส่งผลกระทบต่อบริการสตรีมมิ่งอาจไม่ใช่ปัญหาของอุตสาหกรรม แต่อาจเป็นปัญหาเฉพาะของ Netflix

นอกเหนือจากผลกำไรที่ Disney+ เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมีสมาชิกเพิ่มขึ้น 14.4 ล้านคนตั้งแต่เดือนเมษายน แพลตฟอร์มอื่น ๆ ของ Disney อย่าง Hulu และ ESPN+ ก็มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน ทั้งสามแพลตฟอร์มรวมกันนี้มีสมาชิก 221.1 ล้านคน ในขณะที่ Netflix มีอยู่ราว ๆ 220.67 เป็นการแซงหน้าเป็นครั้งแรก (แม้ว่า Disney จะรวมบริการสามรายการและนับการสมัครแต่ละครั้งเป็นหนึ่งรายการ)

ความน่าสนใจก็คือกลยุทธ์ของ Disney นั้นทำได้อย่างไร ซึ่งต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญ 5 ข้อจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ Disney ในการเพิ่มสมาชิก และสิ่งนี้จะส่งผลต่อแนวการสตรีมในอนาคตอย่างไร

1. ผู้คนต้องการ content ปังที่สุดสำหรับเงินของพวกเขา

ตัวเลือกในการรวมกลุ่ม (รวมหลาย ๆ แพลตฟอร์ม) เป็นสิ่งสำคัญ ในช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อทำให้เกิดความกังวลเรื่องราคา ผู้บริโภคสามารถจ่ายน้อยกว่าหลายดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับบริการสตรีมมิ่ง Disney สามรายการ ซึ่งน้อยกว่าที่ต้องจ่ายในราคา HD สำหรับ Netflix นั่นเป็นทางเลือกที่จะดึงดูดกลุ่มผู้คนในครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น

และเช่นเดียวกันมันหมายความว่าผู้คนสามารถยกเลิกบริการอื่นๆ ได้โดยการรวมบริการที่ถูกกว่าของ Disney รวมไว้ด้วยกัน แม้กระทั่ง Discovery เพิ่งประกาศแผนการที่จะรวม Discovery+ และ HBO Max เข้าเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งการผนึกกำลังของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ก็มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจเช่นกัน

2. ยอมจ่ายน้อยกว่าบนแพลตฟอร์มที่รองรับโฆษณา

ในขณะที่การดูทีวีโดยไม่มีโฆษณาเป็นสิ่งที่ดึงดูดอย่างมากในช่วงแรก ๆ ของบริการสตรีม แต่ผู้บริโภคมีความอดทนต่อการดูโฆษณามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

ทั้ง Disney และ Netflix วางแผนที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มที่รองรับโฆษณาในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ราคาสำหรับสมาชิกลดลง และอีกครั้งที่อัตราเงินเฟ้อได้จุดประกายความสนใจในการออมเงิน และบริการที่ชดเชยความต้องการนั้นก็จะเติบโตได้

3. การเจาะกลุ่ม Niches ช่วยได้อย่างมาก

ผู้ชมรู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับจาก Disney+ (แพคเกจสำหรับครอบครัว) และ ESPN+ (กีฬา) ความเฉพาะเจาะจงของบริการทำให้พวกเขาแตกต่างจากตัวเลือกทั่วไป เช่น Netflix และ HBO Max ที่มีเนื้อหายอดนิยมแทรกเข้ามาบ้างเป็นระยะ ๆ และที่สำคัญสถานการณ์ในตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาที่ความอิ่มตัวของบริการสตรีมเริ่มครอบงำเหล่าผู้บริโภค 

รายงานของ Nielsen พบว่าเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามคิดว่าเป็นการยากที่จะหาเนื้อหาที่ต้องการเพราะมีตัวเลือกมากมายในตอนนี้

4. กีฬามีความสำคัญมาก

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รายการโทรทัศน์ยอดนิยมเกือบ 20 รายการส่วนใหญ่เป็นกีฬา เป็นเป็นพื้นที่หนึ่งที่วงการทีวีแบบดั้งเดิมยังยึดครองอยู่

แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ดีไปกว่า Disney เจ้าของ ESPN นั่นเป็นเหตุผลที่ ESPN+ มีสมาชิกที่แข็งแกร่งถึง 22.8 ล้านคน 

ESPN+ มีสมาชิกที่แข็งแกร่งถึง 22.8 ล้านคน  (CR:TvTechnology)
ESPN+ มีสมาชิกที่แข็งแกร่งถึง 22.8 ล้านคน  (CR:TvTechnology)

Netflix ยังไม่ได้ดำเนินการประมูลอย่างจริงจังสำหรับสิทธิ์ในลีกกีฬาชั้นนำ แม้ว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอื่น ๆ เช่น Amazon, AppleTV+ หรือแม้แต่ Twitter ก็ยังทำเช่นนั้น 

ผู้เล่นตัวจริงในวงการสตรีม จะต้องมีองค์ประกอบด้านกีฬา เนื่องจากผู้บริโภคจะตัดแพ็กเกจทั้งหมดของตนและต้องการรวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว

5. การสมัครสมาชิกระหว่างประเทศมีค่าพอๆ กัน

การเติบโตของจำนวนสมาชิกในไตรมาสที่สองของ Disney+ ส่วนใหญ่มาจากนอกสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยมีสมาชิกใหม่จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 6 ล้านคน

Disney+ Hotstar (ที่ให้บริการในอินเดียและส่วนอื่นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก Disney เป็นบริษัทระดับโลกที่ทำข้อตกลงระดับโลกมาอย่างยาวนาน ตัวอย่างเช่น การถือลิขสิทธิ์คริกเก็ตบน Disney+ ทำให้เป็นเกมที่ต้องสมัครสมาชิกในอินเดีย 

ความเชี่ยวชาญในการรับรู้เนื้อหาระดับสากลที่แข็งแกร่งและสร้างรายได้จากสมาชิกเหล่านั้นจะยังคงสร้างความแตกต่างให้กับ Disney ต่อไปอย่างแข็งแกร่งได้ในอนาคต

บทสรุป

ต้องบอกว่าเป็นการปรับโครงสร้างทางธุรกิจครั้งใหญ่สำหรับ Disney ในการสู้ศึกกับการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคครั้งใหม่ ดูเหมือนว่าเส้นทางของพวกเขานั้นจะสดใสเอามาก ๆ

มันเป็นการ รวมบริการต่าง ๆ ที่ปรับปรุงใหม่ไว้ในแพ็คเกจกับธุรกิจแห่งอนาคตอย่างบริการสตรีมมิ่ง ทั้งกีฬา และความบันเทิงแบบชุดใหญ่บน Disney+ ซึ่งจะมีการให้บริการควบคู่ไปกับ ESPN+ และ Hulu ในราคาที่เข้าถึงได้

ด้วยทีมงานเบื้องหลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่ 4 แบรนด์ของ Disney อย่าง Disney , Marvel , Lucasfilm และ Pixar รวมถึง Fox , Fox Searchlight และ National Geographic มันคือทีมงานระดับคุณภาพที่มีเหนือ Netflix ที่เติบโตมาจากธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีมากกว่าการมีรากฐาน DNA ของการเป็นบริษัทบันเทิงอย่างที่ Disney เป็น

4 แบรนด์ของ Disney อย่าง Disney , Marvel , Lucasfilm และ Pixar (CR:Laughing Place)
4 แบรนด์ของ Disney อย่าง Disney , Marvel , Lucasfilm และ Pixar (CR:Laughing Place)

การแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น กลายเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ Disney ข้อดีคงเป็นเรื่องบริการสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ ที่เติบโตเร็วเกินคาด

ด้วยจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของ Disney ด้วยจำนวนเนื้อหาในคลังของพวกเขาที่มีมหาศาล ทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลกับการที่จะต้องสร้างเนื้อหาใหม่ตลอดเวลาเหมือนที่ Netflix กำลังประสบอยู่ในตอนนี้ ซึ่งจะเป็น key สำคัญที่ทำให้พวกเขาก้าวมาเป็นเบอร์หนึ่งตัวจริงในท้ายที่สุดได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.perfil.com/noticias/bloomberg/bc-disney-va-por-netflix-con-paquete-de-streaming-de-us13-al-mes.phtml
https://www.forbes.com/sites/tonifitzgerald/2022/08/12/5-lessons-from-disneys-successful-challenge-to-netflix
https://fortune.com/2022/08/11/netflix-bad-year-just-got-worse-as-disney-passes-it-in-streaming-subscribers/
https://paperwriter.ca/5-lessons-learned-from-disneys-successful-challenge-to-netflix