มนุษย์เราส่วนใหญ่กลัวและเกลียดชังการผูกขาด เพราะมันเป็นการครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จและบีบไม่ให้มีการแข่งขัน แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของภูเขาน้ำแข็งของภัยคุกคามที่เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีได้สร้างไว้
ความสามารถในการใช้อำนาจนี้เหนือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีแห่งอนาคต บริษัทเหล่านี้ดำเนินการทั้งแบบผูกขาดและทำลายล้างคู่แข่งให้ไม่เหลือซากในสาขาของตน: Google, Facebook, Uber, Airbnb, Amazon, Twitter, Instagram, Spotify เทคโนโลยีของพวกเขาจะรวมเข้ากับทุกสิ่ง ทุกที่ และทั่วโลก
บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 4 แห่ง ได้แก่ Amazon, Google, Facebook (ปัจจุบันคือ Meta) และ Apple มีวิธีการหลายวิธีในการบล็อกบริษัทสตาร์ทอัพที่เป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามของพวกเขา
อย่างแรกคือกลยุทธ์ “ซื้อ” โดยที่พวกเขากลืนกินคู่แข่งมากกว่าที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำของตัวเอง หลังจากที่ Amazon ซื้อบริษัทหุ่นยนต์คลังสินค้า Kiva ในปี 2012 บริษัทได้ยกเลิกสัญญาของ Kiva กับผู้ค้าปลีกรายอื่น และดึงเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำออกจากตลาด ซึ่งนำไปสู่การเป็นผู้นำในด้านโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซสำหรับพวกเขาเอง
การเข้าซื้อกิจการ Instagram ของ Facebook ในปี 2012 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อสมาร์ทโฟนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น Facebook ถูกแซงหน้าโดยแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อทำงานบนแอป “การซื้อดีกว่าการแข่งขัน” Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook กล่าว
จากนั้นก็มีกลยุทธ์ “ซื้อและฆ่าทิ้ง” ที่ซึ่งบริษัทขนาดเล็กถูกซื้อกิจการและกำจัดทิ้งไป Facebook ซื้อและฆ่าบริการเครือข่ายสังคมหลายแห่ง รวมถึง Nextstop, Gowalla, Beluga และ Lightbox ระหว่างปี 2007 ถึง 2019 มีบริษัทปิดกิจการอย่างน้อย 39 แห่ง Microsoft ฆ่าแอปทั้งหมดประมาณครึ่งหนึ่งของที่พวกเขาซื้อตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2019
Apple ซึ่งมีรายงานว่าซื้อบริษัททุกๆ สามถึงสี่สัปดาห์ กำหนดว่าผู้ใช้ iOS ของตนสามารถติดตั้งแอปได้ผ่าน App Store ของตัวเองเท่านั้น และโดยทั่วไปจะคิดค่าคอมมิชชัน 30 เปอร์เซ็นต์จากนักพัฒนาสำหรับการดาวน์โหลดที่ต้องมีการเสียเงิน
การครอบงำของ Amazon ในการซื้อของออนไลน์ ธุรกิจอิสระหลายแสนรายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขายบนแพลตฟอร์มของ Amazon เพียงเท่านั้น
Amazon ใช้อำนาจไม่เพียงแต่เพื่อติดตามข้อมูลของผู้ขายเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเพิ่มรายได้ที่ได้รับจากธุรกิจรายเล็ก ๆ เหล่านี้อีกด้วย ในปี 2019 Amazon เก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขายได้ 60,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนปี 2020 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์ เป็นการผูกขาดของ Amazon ต่อไป
สิ่งเหล่านี้คือความลับเบื้องหลังการปฏิวัติดิจิทัล และเหตุผลที่เหล่าสตาร์ทอัพแห่กันไปที่ Silicon Valley ไม่ใช่แค่คำมั่นสัญญาที่จะสร้างโลกที่ดีกว่า แต่เป็นเพราะนั่นคือที่ที่มีการร่วมทุนอยู่ เงินและความคิดใน Silicon Valley มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกันเป็นอย่างมาก
แม้แต่ผู้เริ่มมีวิสัยทัศน์และนักประดิษฐ์ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็ต้องการเงินเพื่อเอาชีวิตรอด จ่ายค่าเช่าย่าน Bay Area ที่แพงอย่างบ้าคลั่ง และจ้างโปรแกรมเมอร์ที่เก่งที่สุดให้เข้ามาร่วมงานให้จงได้
Silicon Valley ใช้เงินเพื่อแลกกับแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงโลก แต่การลงทุนนำมาซึ่งความรับผิดชอบใหม่ ไมว่าจะเป็นอัตรากำไรรายไตรมาส และเป้าหมายการเติบโตที่เข้ามาบีบรัดแทบจะทันที
ในบางแง่ เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือล่าสุดสำหรับคนรวยมากที่จะใช้เทคนิคที่ได้รับการทดสอบอย่างดีในการซื้ออิทธิพลทางการเมือง พฤติกรรมผูกขาด และการหลีกเลี่ยงกฎระเบียบ เพื่อช่วยให้พวกเขาร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้ปลูกฝังแนวคิดของแคลิฟอร์เนียอย่างระมัดระวัง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีทีมประชาสัมพันธ์มากมายอยู่แล้วก็ตามที
พวกเขาถูกครอบงำโดยคนผิวขาวที่ร่ำรวย พวกเขาพูดถึงความยุติธรรมทางสังคมและความเท่าเทียมกัน แต่ในปี 2014 พนักงาน Facebook เพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นคนผิวดำ และไม่ถึงหนึ่งในสามเป็นผู้หญิง
Facebook เองยังถูกจับได้ว่าให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อมูลผู้ใช้ต่อคณะกรรมาธิการยุโรปในระหว่างการซื้อ WhatsApp และในปีนั้นเอง ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่าว่า “ปรัชญาของเราคือ เราจะใส่ใจผู้คนก่อน”
อิทธิพลที่แพร่หลายของ Google เป็นตัวอย่างที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่มันมากกว่านั้นมาก iPhone และเว็บเบราว์เซอร์ที่เราใช้ได้นำเอาอุดมการณ์ของชาวแคลิฟอร์เนียเผยแพร่ไปยังทั่วโลก ทำให้เราทุกคนติดใจด้วยแนวคิดที่เย้ายวนใจที่ว่าการ disruption คือการปลดปล่อย
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงปีต่อๆ ไปที่ไม่มีโรงเรียนที่เต็มไปด้วย iPads (Apple), ชุดหูฟัง VR (Oculus ที่ Facebook เป็นเจ้าของ) และชั้นเรียนออนไลน์ (ดำเนินการโดย Google)
การวิจัยจาก NSPCC พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของเด็กทั้งหมดต้องการประกอบอาชีพด้านเทคโนโลยี สถิติที่น่าหดหู่ยิ่งกว่านั้นคือ 30 เปอร์เซ็นต์หวังว่าจะเป็น YouTuber แต่มีเพียงหนึ่งในล้านที่สามารถเลี้ยงตัวด้วยอาชีพนี้ได้จริง ๆ
ทุกประเทศต้องการสร้าง Silicon Valley ของตนเอง และทุกเมืองมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยี อ่านแถลงการณ์ทางการเมืองจากทั่วทุกมุมโลก แล้วจะพบว่ามันเต็มไปด้วยคำ buzzword ไม่ว่าจะเป็นเมืองอัจฉริยะ รัฐบาลแบบลีน และการทำงานแบบยืดหยุ่น
และตอนนี้เราได้เปลี่ยนมุมมองที่ว่าใครกันแน่ที่จะมาแก้ปัญหาสังคมส่วนรวมของเรา? มันไม่ใช่หน้าที่ของรัฐอีกต่อไป แต่เป็นซูเปอร์ฮีโร่แนวเทคโนโลยีล้ำสมัย เฉกเช่น การเดินทางในอวกาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มาพร้อมกับชายที่ชื่อ Elon Musk
เรามองไปที่ Google เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ Facebook แทบจะเป็นคนตัดสินว่าว่า Free Speech คืออะไร รวมถึงการต่อสู้กับ Fake News ที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย ในขณะที่ Jeff Bezos แห่ง Amazon ได้เข้ามาช่วยชีวิต Washington Post จากการล้มละลาย
ชัยชนะโดยรวมของการผูกขาดไม่ได้อยู่เหนือเศรษฐกิจหรือการเมือง มันอยู่เหนือสมมติฐาน ความคิด และอนาคตที่เป็นไปได้ เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้น Big Tech จะไม่ต้องวิ่งเต้นหรือซื้อคู่แข่งอีกต่อไป พวกเขาจะเพียงแค่หลอกหลอนชีวิตและจิตใจของเราจนเราไม่สามารถจินตนาการถึงโลกที่ปราศจากพวกเขาได้อีกนั่นเองครับผม
References :
https://ilsr.org/in-financial-times-the-innovations-we-lose-if-we-dont-break-up-big-tech/
https://hbr.org/2018/03/here-are-all-the-reasons-its-a-bad-idea-to-let-a-few-tech-companies-monopolize-our-data
https://blog.ed.ted.com/2018/10/01/heres-the-real-danger-that-facebook-google-and-the-other-tech-monopolies-pose-to-our-society
https://www.theguardian.com/technology/2021/nov/21/can-big-tech-ever-be-reined-in