ประวัติ Vladimir Putin ตอนที่ 2 : Operation Luch

ที่มหานครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเวลาหกสัปดาห์แล้วที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย นับตั้งแต่วันที่ประธานาธิบดี Boris Yeltsin และผู้นำของสาธารณรัฐโซเวียตอื่น ๆ ได้เข้ามาร่วมลงนามอย่างเป็นทางการ

ในท้องถนนทั่วเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ชาวเมืองพยายามหาเงินจากการขายรองเท้าและสิ่งของอื่น ๆ จากบ้าน สถานการณ์ในตอนนั้นทั้งขาดแคลนอาหาร ต้องใช้บัตรปันส่วน ผู้คนเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงอย่างสุดขีดกำลังทำลายเงินออมของพวกเขา บางคนถึงกับออกมาส่งเสียงว่าพวกเขากำลังอดอยาก โดยมีการส่งเสียงกระดิ่งเตือนไปทั่วทั้งเมือง มันคล้ายกับภาพจำที่เกิดขึ้นจากการปิดล้อมของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ผู้คนหลายพันคนต้องอดอาหารตายในทุก ๆ วัน

ในเวลาเดียวกันนั้น Vladimir Putin ชายผู้ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองนายกเทศมนตรีเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในวัย 39 ปี กำลังถ่ายทำสารคดีชุดใหม่เกี่ยวกับการบริหารเมืองของเขา

เป็นสารคดีที่เน้นไปที่รองนายกเทศมนตรีที่ดูอ่อนเยาว์ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลการนำเข้าอาหารอย่างเพียงพอ ซึ่งตอนนั้นมีเมล็ดธัญพืชจำนวนมากมายที่ได้รับจากการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ส่งมาจากเยอรมนี อังกฤษและฝรั่งเศส

Putin เป็นคนที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาใหญ่ในเรื่องเศรษฐกิจที่เมืองกำลังเผชิญปัญหาอยู่ เขาพูดด้วยความคล่องแคล่วเกี่ยวกับความจำเป็นในการพัฒนากลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางให้เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจในตลาดใหม่ของรัสเซีย

Putin ได้กล่าวว่า “ชนชั้นผู้ประกอบการควรเป็นพื้นฐานสำหรับความเจริญรุ่งเรืองของสังคมเราโดยรวม”

เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาในการเปลี่ยนหน่วยงานป้องกันประเทศยุคโซเวียตขนาดใหญ่ให้กลายเป็นฐานการผลิตช่วยเหลือพลเรือนเพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น

เขาได้พูดเกี่ยวกับอันตรายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในการตัดขาดสหภาพโซเวียตออกจากความสัมพันธ์กับตลาดเสรีที่เชื่อมโยงกับส่วนที่เหลือของโลกที่พัฒนาแล้ว

“ลัทธิมาร์กซ์และเลนิน นำความสูญเสียมหาศาลมาสู่ประเทศของเรา” เขากล่าว

“อันที่จริงกลุ่มปฏิวัติบอลเชวิคในปี 1917 ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นในตอนนี้ โศกนาฎกรรมของการล่มสลายของรัฐของเรา” เขากล่าวในการสัมภาษณ์เพื่อทำสารคดีอย่างกล้าหาญ

นั่นคือเรื่องราวจุดเริ่มต้นของความเท็จและความสับสนในอาชีพ KGB ของ Putin หลังจากที่เขากลับมาจากเดรสเดน Putin ได้เห็นจุดจบของการควบคุมเยอรมันตะวันออก ของจักรวรรดิโซเวียต การล่มสลายของความฝันที่เรียกว่าสังคมนิยม

กลุ่มอำนาจสนธิสัญญาวอร์ซอของสหภาพโซเวียตได้แตกสลาย ขณะที่พลเมืองของตนก่อกบฎต่อผู้นำคอมมิวนิสต์

มันได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกที่เริ่มส่งเสียงก้องไปทั่วสหภาพโซเวียต การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน ขบวนการชาตินิยมจึงแพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว บังคับให้ผู้นำคอมมิวนิสต์ Mikhail Gorbachev ประนีประนอมกับผู้นำประชาธิปไตยรุ่นใหม่

ซึ่งหนึ่งในผู้นำรุ่นใหม่เหล่านั้นก็คือ Boris Yeltsin ที่ได้รับชัยชนะจากการพยายามทำรัฐประหารอย่างหนักหน่วงในเดือนสิงหาคม 1991 ซึ่ง Yeltsin ได้เข้ามาจัดการกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ระบอบเก่าที่จะถูกกวาดล้างให้สิ้นซากไปในที่สุด

แต่ต้องบอกว่าสิ่งที่มาแทนที่นั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับ KGB ทาง Yeltsin เองก็ได้กำจัดผู้นำระดับบนสุดของ KGB แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับกลายเป็นว่าเกิดสัตว์ประหลาดหัวไฮดราขึ้นมาแทนที่

เจ้าหน้าที่ KGB หลายคน เช่น Putin ได้หลบหนีไปยังเงามืดและยังทำภารกิจแบบใต้ดิน ในขณะที่หน่วยข่าวกรองต่างประเทศที่ทรงพลังก็ยังคงไม่บุบสลาย มันยังอยู่ในดินแดนเงามืดที่ถูกฉาบด้วยภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังพร้อมที่จะกลับมาเปล่งประกายในทุก ๆ เมื่อ

และเรื่องราวของ Putin ที่เป็นทางการที่ออกมาจริง ๆ นั้น จะฉายภาพเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ KGB ที่เริ่มเข้ามาเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยของประเทศ

เรื่องราวของกลุ่ม KGB โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนหนึ่งของหน่วยงานข่าวกรองต่างประเทศ ได้เตรียมเอกสารอย่างลับ ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในความวุ่นวายของการปฏิรูป perestroika ของสหภาพโซเวียต

Putin ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ในขณะที่เขาอยู่ในเดรสเน ต่อมาหลังจากเยอรมนีรวมตัวกันอีกครั้ง หน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศสงสัยว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ทำงานปฏิบัติการพิเศษ ‘Operation Luch’

มันเป็นปฏิบัติการที่มีการเตรียมการมาอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ปี 1988 ในกรณีที่ระบอบการปกครองของเยอรมันตะวันออกล่มสลาย ซึ่งวิธีการดำเนินการก็คือการจัดหาเครือข่ายตัวแทนที่สามารถดำเนินการต่อไปสำหรับรัสเซียยุคใหม่หลังจากการล่มสลาย

Vladimir Putin ใฝ่ฝันที่จะประกอบอาชีพด้านข่าวกรองต่างประเทศมานานแล้ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อของเขาเคยรับใช้ใน NKVD ตำรวจลับของสหภาพโซเวียต ที่ได้พยายามทำลายล้างทหารเยอรมัน พ่อของเขาหลบหนีได้อย่างหวุดหวิด แต่ท้ายที่สุดก็ถูกจับเข้าคุก และทนทุกข์ทรมานกับบาดแผลที่ร้ายแรง

หลังจากที่พ่อของเขาเป็นวีรบุรุษ Putin ก็หมกมุ่นอยู่กับการเรียนภาษาเยอรมันตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ และในช่วงวัยรุ่นเขาก็มีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม KGB มากจนเขาโทรหาสำนักงานเลนินกราด (ชื่อของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในตอนนั้น) เพื่อให้เขาได้เข้าทำงานก่อนที่จะเรียนจบ

เมื่อถึงวัย 30 ต้น ๆ ในที่สุดเขาก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนชั้นนำสำหรับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองต่างประเทศ มันเป็นความสำเร็จที่ดูเหมือนว่าจะช่วยให้เขารอดพ้นจากการต่อสู้อันเลวร้ายในชีวิตวัยเด็กของเขา

ในช่วงวัยเด็ก เขาต้องทนกับวัยเด็กที่ต้องไล่ตามหนูรอบ ๆ บันไดของอาคารอพาร์ตเมนต์ส่วนกลางของครอบครัว และทะเลาะกับเด็กคนอื่น ๆ บนถนน

เขาได้เรียนรู้ที่จะถ่ายทอดความกระหายในการต่อสู้บนท้องถนนด้วยวิชายูโด ซึ่งเป็นศิลปะการป้องกันตัวที่มีพื้นฐานมาจากหลักการอันละเอียดอ่อนในการทำให้คู่ต่อสู้เสียสมดุล

เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของสำนักงาน KGB ในพื้นทีอย่างใกล้ชิดว่าควรเรียนหลักสูตรใดเพื่อจะให้ก้าวหน้าในอาชีพการงาน เขาได้เข้าไปศึกษาที่คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเลนินกราด จากนั้นเมื่อเขาสำเร็จการศึกษาในปี 1975 เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกต่อต้านข่าวกรองของเลนินกราด ในท้ายที่สุด

โดยในตอนแรกเขาจะได้รับหน้าที่เป็นสายลับ แต่เมื่อในที่สุดเขาก็ได้บรรลุเป้าหมายตามความฝันของเขาโดยได้เริ่มงานในต่างประเทศครั้งแรกที่เมืองเดรสเดนในเยอรมันตะวันออก

เมื่อ Putin มาถึงเดรสเดน มีเจ้าหน้าที่ KGB เพียงแค่ 6 คนอยู่ที่นั่น เขาร่วมสำนักงานกับเพื่อนร่วมงานที่มีอายุมากกว่าคือ Vladimir Usoltsev ซึ่งเรียกเขาว่า Volodya และทุกวันเขาจะพาลูกสาวตัวน้อยสองคนไปโรงเรียนเยอรมันจากอาคารอพาร์ตเมนต์ที่เขาอาศัยอยู่กับ Lyudmilla ภรรยาของเขา

งานแรกในฝันของ Putin ที่เมืองเดรสเดน เยอรมันตะวันออก (CR:GettyImage)
งานแรกในฝันของ Putin ที่เมืองเดรสเดน เยอรมันตะวันออก (CR:GettyImage)

มันดูเหมือนชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายในช่วงแรก ๆ เขามักมาเล่นกีฬากับเพื่อนร่วมงานรวมถึงกลุ่ม Stasi ซึ่งคือหน่วยสอดแนมตัวพ่อแห่งยุคสงครามเย็นของเยอรมันตะวันออก งานหลักของ Stasi คือการสอดแนมศัตรูของรัฐ อันหมายรวมถึงประชาชนของตนเอง

กลุ่มเหล่านี้จะรู้จักทุกคนในเมืองและรับผิดชอบในการจัดระเบียบบ้านที่ปลอดภัยและอพาร์ทเมนต์ลับสำหรับตัวแทนและผู้ให้ข้อมูลและสำหรับจัดหาสินค้าใหักับสหายชาวโซเวียตของพวกเขา

ต้องบอกว่าเดรสเดนเป็นมากกว่าพื้นที่แสนสงบของเยอรมันตะวันออก เพราะเป็นสถานที่ตั้งของอาณาจักรลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องช่วยชีวิตสำหรับเศรษฐกิจของเยอรมันตะวันออก มาเป็นเวลานาน

ที่นั่นเป็นสถานที่ตั้งของ Robotron ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดในเยอรมันตะวันออกที่ผลิตเมนเฟรมและคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งศูนย์กลางของการต่อสู้ของโซเวียตและเยอรมันตะวันออก คือ การได้มาซึ่งพิมพ์เขียวและส่วนประกอบของสินค้าไฮเทคของตะวันตกอย่างผิดกฎหมาย

มันได้ทำให้กลายเป็นกุญแจสำคัญ ใช้ในการดิ้นรนเพื่อแข่งขันทางการทหารกับเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วของตะวันตก

Robotron ประสบความสำเร็จในการโคลน IBM ของตะวันตก และพัฒนาความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับซีเมนส์ของเยอรมนีตะวันตก

Franz Sedelmayer ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของชาวเยอรมันตะวันตกซึ่งต่อมาทำงานร่วมกับ Putin ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้กล่าวว่า การลักลอบสินค้าไฮเทคส่วนใหญ่มาจากเมืองเดรสเดน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการลักลอบขนสินค้าไฮเทคของชาวเยอรมันตะวันออก

เดรสเดนได้กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าขายของเถื่อนนี้ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางของ Kommerzielle Koordinierung ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการค้าต่างประเทศของเยอรมันตะวันออกที่เชี่ยวชาญด้านการลักลอบนำเข้าสินค้าไฮเทคภายใต้การคว่ำบาตรจากตะวันตก

งานหลักอย่างหนึ่งของ Putin คือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ NATO ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้หลัก และเดรสเดนเป็นด่านหน้าที่สำคัญสำหรับการเกณฑ์ทหารในมิวนิกและในบาเดน-เวิร์ทเทมแบร์ก ซึ่งอยู่ห่างออกไป 500 กิโลเมตร และเป็นบ้านของบุคลากรทางทหารของสหรัฐ และกองทหาร NATO

ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 สมาชิก KGB หัวก้าวหน้า 2-3 คนได้ทำงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสถาบันเศรษฐกิจโลกในกรุงมอสโก พวกเขาเริ่มทำงานในการปฏิรูปที่สามารถนำองค์ประกอบบางอย่างของตลาดเสรีมาสู่เศรษฐกิจโซเวียตเพื่อสร้างการแข่งขัน

เมื่อ Mikhail Gorbachev เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1985 ความคิดเหล่านี้จึงกลายเป็นแรงผลักดัน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การค่อย ๆ คลายการควบคุมระบบการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ

มันเป็นวิธีเดียวที่จะนำพาประเทศให้อยู่รอด ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นทั่วทั้งกลุ่มตะวันออกทั้งอารมณ์ของการประท้วงเพิ่มขึ้นในการต่อต้านการขดขี่ของผู้ปกครองคอมมิวนิสต์ เมื่อตระหนักได้ว่าการล่มสลายอาจจะเกิดขึ้น บรรดา KGB หัวก้าวหน้าเพียงไม่กี่คนก็เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการล่มสลายที่กำลังจะเกิดขึ้น

ความตระหนักเรื่องความเสี่ยงของการล่มสลายของคอมมิวนิสต์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ในช่วงกลางทศวรรษที่ 80 KGB ได้เปิดตัว Operation Luch อย่างเงียบ ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ในปี 1986 Markus Wolf หัวหน้าสปายระดับสูงผู้ที่เป็นที่เคารพนับถือของ Stasi ลาออก สิ้นสุดการครองอำนาจใน Hauptverwaltung Aufklärung – HVA (หน่วยข่าวกรองต่างประเทศที่น่าเกรงขามของเยอรมนีตะวันออก)

มันเป็นเวลา 30 ปีที่เขาดำเนินการปฏิบัติการต่าง ๆ อย่างไร้ความปราณี Stasi ที่กลายเป็นที่รู้จักมาจากความสามารถของเขาในการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของมนุษย์เพื่อทำการแบล็กเมล์ และขู่กรรโชกเจ้าหน้าที่ ภายใต้การดูแลของ Wolf HVA ได้เจาะลึกเข้าไปในรัฐบาลเยอรมันตะวันตก และได้เปลี่ยนสายลับจำนวนมากที่คิดว่าจะทำงานให้กับ CIA ให้มาเป็นพวกของตน

ทาง KGB ได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูง Boris Laptev ไปยังสถานทูตโซเวียตในเบอร์ลินตะวันออกเพื่อดูแลอย่างเป็นทางการ ภารกิจของ Laptev คือการสร้างกลุ่มผู้ปฏิบัติการที่จะทำงานอย่างลับ ๆ เพื่อเจาะกลุ่มฝ่ายค้านของเยอรมันตะวันออก และป้องกันไม่ให้มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในการรวมเยอรมัน

นั่นเองที่ทำให้ Putin ถูกเกณฑ์ให้มีส่วนร่วมในปฏิบัติการดังกล่าวนี้ เนื่องจากเมืองเดรสเดนที่ Putin อาศัยอยู่เป็นศูนย์กลางของการเตรียมการเหล่านี้

กลุ่ม Stasi ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Martin Schlaff นักธุรกิจชาวออสเตรีย ซึ่ง Schlaff ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องการลักลอบนำเข้าชิ้นส่วนประกอบสำหรับก่อสร้างโรงงานฮาร์ดดิสก์ในเมือง Thuringen ใกล้กับเมืองเดรสเดน

โครงการดังกล่าวกลายเป็นโครงการที่แพงที่สุดที่เคยดำเนินการภายใต้ Stasi แต่โรงงานไม่เคยสร้างเสร็จ ส่วนประกอบหลายๆ อย่างไม่เคยมาถึง แต่มีเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ จากข้อตกลงอื่น ๆ ที่ผิดกฎหมาย ถูกโอนไปยังบริษัทของ Schlaff ใน ลิกเตนสไตน์ สวิตเซอร์แลนด์ และ สิงค์โปร์

ซึ่งเส้นทางการโอนเงินเหล่านี้เกิดขึ้นในขณะที่ Putin ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานหลักระหว่าง KGB และ Stasi ในเมืองเดรสเดน

หลายปีต่อมา สายสัมพันธ์ของ Schlaff กับ Putin ก็เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อนักธุรกิจชาวออสเตรียปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งในเครือข่ายของบริษัทต่าง ๆ ในยุโรปที่เป็นศูนย์กลางในการดำเนินงานที่มีอิทธิพลของระบอบการปกครองของ Putin หลังขึ้นสู่อำนาจ

เมื่อ Putin เดินทางกลับรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผลกระทบของการพังทลายของกำแพงเบอร์ลินยังคงดังก้องไปทั่วสหภาพโซเวียต ขบวนการชาตินิยมกำลังเพิ่มสูงขึ้น และมีการขู่ว่าจะแยกประเทศออกจากกัน

Mikhail Gorbachev ถูกกดดันอย่างหนัก ถูกบังคับให้ยอมยกอำนาจให้กับผู้นำประชาธิปไตยที่มาใหม่ พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตเริ่มสูญเสียการผูกขาดอำนาจอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งความชอบธรรมของพรรคกำลังถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในเดือนมีนาคม 1989 เกือบหนึ่งปีก่อนที่ Putin จะกลับมาที่รัสเซีย Gorbachev ตกลงที่จะจัดการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โซเวียตเพื่อเลือกผู้แทนราษฎรในรัฐสภาชุดใหม่

กลุ่มประชาธิปไตยซึ่งนำโดย Andrei Sakharov นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ซึ่งกลายเป็นเสียงที่ไม่เห็นด้วยในอำนาจทางศีลธรรมของคอมมิวนิสต์ และ Boris Yeltsin ได้กลายมาเป็นคู่ต่อสู้ใหม่ในวิถีแห่งประชาธิปไตย ซึ่งมันใกล้จะถึงจุดจบของช่วงเวลาเจ็ดทศวรรษของการปกครองของคอมมิวนิสต์เต็มทีแล้ว

ท่ามกลางความโกลาหล Putin พยายามปรับตัว แต่แทนที่จะหาเลี้ยงชีพเป็นคนขับแท็กซี่หรือเดินตามเส้นทางดั้งเดิมหลังจากกลับจากต่างประเทศ กลับมีไปรษณีย์ลึกลับมาที่ศูนย์ของสำนักงานใหญ่ของหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของ KGB ในมอสโก

เขาได้รับคำสั่งจากอดีตที่ปรึกษาและเจ้านายของเขาในเดรสเดน ให้ไม่ต้องไปไหนมาไหนในมอสโก แต่ให้กลับบ้านที่เลนินกราด ที่ซึ่งการเลือกตั้งสภาเทศบาลจะมีการจัดขึ้นครั้งแรกภายใต้การปฏิรูปของ Gorbachev

ตำแหน่งแรกของ Putin ที่เลนินกราดคือเป็นผู้ช่วยอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเลนินกราด ซึ่งในวัยหนุ่มเขาได้ศึกษากฎหมายอยู่ที่นั่นมาก่อน

เขามีหน้าที่ในการดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยและจับตาดูนักศึกษาต่างชาติและบุคคลสำคัญที่มาเยี่ยม

Anatoly Sobchak เป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่มีเสน่ห์ของมหาวิทยาลัย สูงส่ง เก่งกาจ และหล่อเหลา เขาชนะใจนักเรียนด้วยแนวร่วมต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์มาช้านาน และได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักพูดที่ปลุกเร้าขบวนการประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ที่สุด ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะท้าทายพรรคคอมมิวนิสต์และ KGB ในทุก ๆ ทาง

Sobchak เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ปรึกษาอิสระและนักปฏิรูปที่เข้าควบคุมสภาเมืองหลังการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 1990 และภายในเดือนพฤษภาคมเขาได้รับตำแหน่งให้กลายเป็นประธานสภาเมือง และ Putin ได้รับแต่งตั้งให้เป็นมือขวาของเขาแทบจะในทันที

Anatoly Sobchak ที่ให้ Putin มาเป็นมือขวาแทบจะในทันที (CR:Alchetron)
Anatoly Sobchak ที่ให้ Putin มาเป็นมือขวาแทบจะในทันที (CR:Alchetron)

Putin ได้มาช่วยเหลือ Sobchak ในการเป็นผู้ประสานงานและดูแลเรื่องความปลอดภัย Franz Sedelmayer ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของเยอรมันซึ่งต่อมาทำงานร่วมกับ Putin กล่าวว่า ‘KGB บอก Sobchak ว่า “นี่ (Putin) คือคนของเรา เขาจะดูแลคุณ”

ตำแหน่งในคณะนิติศาสตร์เป็นเพียงการปกปิดข้อมูลบางอย่างเท่านั้น Sedelmayer เชื่อว่า Sobchak เองได้ทำงานอย่างไม่เป็นทางการกับ KGB มานานแล้ว ซึ่งการปกปิดตัวตนที่ดีที่สุดสำหรับคนเหล่านี้คือปริญญาทางกฎหมาย

และเมื่อถึงเวลาที่เมืองเลนินกราดจัดการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในเดือนมิถุนายน 1991 Sobchak ก็เป็นผู้นำและชนะการเลือกตั้งได้อย่างง่ายดาย

แต่เมื่อถึงเดือนสิงหาคม ก็ได้เกิดการก่อรัฐประหารต่อผู้นำโซเวียตขึ้น เหล่าผู้ก่อการรัฐประหารได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และประกาศว่าพวกเขากำลังเข้าควบคุมสหภาพโซเวียต และได้จับตัว Gorbachev เป็นตัวประกันที่บ้านพักฤดูร้อนของเขาที่ Foros บนชายฝั่งทะเลดำ

แต่ในเลนินกราด เหล่าผู้นำที่สนับสนุนประชาธิปไตยของเมืองได้ก่อกบฎต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งสมาชิกสภาเมืองทำหน้าที่ป้องกันสำนักงานใหญ่ของพรรคในห้องโถงที่ขาดรุ่งริ่งของพระราชวัง Marinsky

Putin และ Sobchak ได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าตำรวจท้องที่และทหารหกสิบคนจากกองกำลังพิเศษ พวกเขาร่วมกันเกลี้ยกล่อมให้เจ้าของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นอนุญาติให้ Sobchak ออกอากาศในเย็นวันแรกหลังการทำรัฐประหาร

สุนทรพจน์ของ Sobchak ที่กล่าวในคืนนั้นผ่านโทรทัศน์ประณามผู้นำรัฐประหารว่าเป็นอาชญากร และได้นำประชาชนออกมารวมตัวกันหลายแสนคนในวันรุ่งขึ้นที่พระราชวังฤดูหนาวของโรมานอฟเพื่อแสดงการต่อต้านการรัฐประหาร

Sobchak ระดมฝูงชนด้วยการเรียกร้องอันทรงพลัง แต่เบื้องหลังนั้นเขาได้ทิ้งภารกิจที่สำคัญที่สุดและยากที่สุดให้กับ Putin และทีมงานทางด้านการทหารของเขา

Putin ได้ทำการเข้าเจรจากับหัวหน้า KGB ของเมืองและผู้บัญชาการทหารของภูมิภาคเลนินกราดเพื่อให้แน่ใจว่าแนวทหารกลุ่มที่ก่อรัฐประหารจะไม่เข้ามาในเมือง

ในขณะที่ Sobchak ปลุกระดมฝูงชนที่รวมตัวกันที่ Palace Square ในวันรุ่งขึ้นการเจรจาของ Putin และทีมงานของเขาก็ยืดเยื้อต่อไป และเมื่อรถถังมาหยุดที่เขตเมืองในวันนั้น Putin ก็หายตัวไปพร้อมกับ Sobchak

Putin ได้พา Sobchak และกลุ่มกองกำลังพิเศษไปยังบังเกอร์ที่อยู่ลึกลงไปใต้โรงงานในแนวป้องกันหลักของเมือง ที่ซึ่งพวกเขาสามารถพูดคุยกับ KGB ต่อไปได้

เมื่อ Putin และ Sobchak ออกมาจากบังเกอร์ในเช้าวันรุ่งขึ้น การรัฐประหารก็สิ้นสุดลง ความพยายามในการยึดอำนาจของกลุ่มก่อรัฐประหารพ่ายแพ้ ในกรุงมอสโก หน่วยงานพิเศษของ KGB ได้ปฏิเสธคำสั่งยิงทำเนียบของกลุ่มก่อรัฐประหาร

Boris Yeltsin ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งของสาธารณรัฐรัสเซียในขณะนั้น ได้รวบรวมผู้สนับสนุนหลายหมื่นคนเพื่อต่อต้านการรัฐประหารที่กำลังจะยกเลิกเสรีภาพที่ประชาชนชาวรัสเซียกำลังจะได้รับ

เมื่อการรัฐประหารล้มเหลว สิ่งที่เหลืออยู่ของความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์ก็พังทลายลง ผู้นำระบอบประชาธิปไตยใหม่ของรัสเซียพร้อมที่จะก้าวขึ้นมา ไม่ว่าแรงจูงใจของเขาจะเป็นอย่างไร Putin กลายเป็นกำลังสำคัญในการนำชัยชนะมาสู่กลุ่มประชาธิปไตย

Putin ได้สะท้อนมุมมองของทุกคนกลับมาที่เขาเหมือนกระจกเงา อย่างแรกคือแนวความคิดของเจ้านายฝ่ายประชาธิปไตยใหม่ของเขา ส่วนที่เหลือก็คือกลุ่มองครักษ์ KGB เก่าที่เขาเคยทำงานด้วย มันเป็นส่วนผสมใหม่ที่ทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างออก

“ดูเหมือนว่าเขา (Putin) จะเปลี่ยนสีได้เร็วจนคุณไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนยังไงกันแน่” Sedelmayer กล่าว

–> อ่านตอนที่ 3 : Where’s the Money

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ