Better Community กับ Privacy ที่หายไปของ Facebook Messenger

ต้องบอกว่าถือเป็นหนึ่งแพล็ตฟอร์มทางด้าน Social Network ที่มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องสำหรับ ยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง Facebook ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก

ก่อนหน้านี้เราจะได้เห็นถึงการปรับอัลกอริธึมครั้งใหญ่ หลังจากมีข่าวฉาว ทั้งเรื่องข้อมูลหลุด ข้อมูล fake news การ bully ที่แพร่กระจายในแพล็ตฟอร์มอย่างรวดเร็ว และ facebook ก็ถือเป็นหนึ่งในแพล็ตฟอร์มที่ต้องรับผิดชอบไปเต็ม ๆ กับเรื่องราวดังกล่าวที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่ามันได้ส่งผลกระทบชัดเจน ต่อ ผู้ลงโฆษณา ใน facebook ที่มีกฏระเบียบที่เคร่งครัดมากยิ่งขึ้น การยิงโฆษณา โดยเฉพาะสายที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง sensitive ทั้งด้านการเมือง ทั้งเรื่องการแพทย์ ยารักษาโรค ครีมต่าง ๆ นั้น จะเห็นได้ว่ามันลดน้อยลงไปอย่างมาก เนื่องจากการจัดการขั้นเด็ดขาดของ facebook

ซึ่งสิ่งที่พวกเขาทำแน่นอนว่า มันเป็นเรื่องของการสร้างสังคมที่ดีขึ้น อย่างที่ Mark Zuckerberg ได้กล่าวไว้ ว่าจะทำให้ facebook เป็นสังคมที่ดีที่สุด และพยายามปรับอัลกอริธึมหลาย ๆ ครั้ง ที่เน้นไปที่ผู้ใช้งานจริง ๆ มากยิ่งขึ้น

เรียกได้ว่า facebook เริ่มเข้ามาแคร์ความรู้สึกของผู้ใช้งานมากขึ้น พยายามให้เห็นสิ่งที่เพื่อน ครอบครัว หรือ คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับเรามากยิ่งขึ้น เพื่อสร้าง community ที่ดียิ่งขึ้น

แต่จากการปรับอัลกอริธึมให้กรอง content แบบละเอียด ในทุก ๆ ส่วนของแพล็ตฟอร์มนั้น ก็ทำให้ facebook เริ่มเข้ามาเซ็นเซอร์เนื้อหาจากผู้ใช้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และหนึ่งใน app ที่โดนนั่นก็คือ facebook messenger

ถ้าวิเคราะห์กันให้ดี platfrom chat กับ platform social นั้น มีข้อมูลที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ในข้อมูล chat นั้นเรามีข้อมุลที่ Sensitive ที่เราใช้คุยกับคนที่เราไว้ใจอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเรื่องการเจ็บป่วยร้ายแรง หรือ เรื่องทางการเงิน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ค่อนข้าง sensitive กว่าข้อมูลที่เราเผยแพร่ไปใน social เพราะมันเป็นการ chat แบบบุคคล ต่อ บุคคล

และใน chat มันเป็นสิ่งที่มีความลับ เรื่อง sensitive ต่าง ๆ และตอนนี้ เราจะเห็นได้ว่า facebook เริ่มเข้ามาแบนกันในระดับ app messenger แล้วด้วยซ้ำ หาก มีการ chat ในเรื่องที่เป็นประเด็นที่มีปัญหาเช่นการ bully หรือ เรื่องลามกอนาจารต่าง ๆ

ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ทำแตกต่างจาก platfrom chat อื่น ๆ เป็นอย่างมาก ที่ส่วนใหญ่ในเรื่องการ chat หรือ messenging service นั้นจะค่อนข้างเปิดกว่า ไม่มีการเข้ามาเซ็นเซอร์อะไรแต่อย่างใด

ซึ่งมันกำลังทำให้ แพล็ตฟอร์ม กำลังละเมิด privacy ของผู้ใช้มากขึ้น ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดสำคัญต่ออนาคตของ messenger app ของ facebook เองด้วย

เพราะในอนาคต อาจจะมีผลทำให้ผู้ใช้งานหนีไปใช้ platform อื่นที่ปลอดภัยกว่าเลยก็ได้ เนื่องจากการเสียข้อมูลที่ sensitive เหล่านี้ไปให้ facebook ทำการวิเคราะห์นั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับผู้ใช้งานอย่างแน่นอนนั่นเองครับผม

Credit Image : https://sabrangindia.in/article/facebook-functioning-behest-us-israeli-governments

Geek Daily EP72 : Johny Srouji กับ Chip M1 ชายผู้สานฝันวิสัยทัศน์ของ Steve Jobs ให้กลายเป็นความจริง

ในที่สุด Apple ก็สามารถบรรลุเป้าหมายในการผลิตชิป M1  เป้าหมายที่ Steve Jobs เคยจินตนาการไว้ คงจะดีไม่น้อยถ้า Jobs ได้เห็นการเปิดตัวในครั้งนี้ ต้องบอกว่าทีมงานยุคใหม่ของ Apple ก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจที่ผลักดันวิสัยทัศน์เดิมของศาสดาของพวเขาให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

Srouji อาจไม่ปรากฏให้เห็นเหมือนกับผู้บริหารคนอื่น ๆ ของ Apple แต่การมีส่วนร่วมของเขาในการเติบโตยุคหลังของ Apple นั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก 

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3gGaLqr

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/gfmWQ60QpRE

Squirrel AI กับการยกเครื่องหลักสูตรด้วย AI ที่กำลังพลิกโฉมวิธีการเรียนรู้ของโลกเราไปตลอดกาล

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ดำเนินการเร่งปฏิรูปทางด้านการศึกษาโดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง เทคโนโลยีทางด้าน AI เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่นี้

มีความน่าสนใจอย่างนึงที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเมื่อบริษัทสตาร์ทอัพที่มีชื่อว่า Squirrel AI ได้เข้ามาปฏิวัติการเรียนการสอนในโรงเรียนมัธยมของประเทศจีน

มันเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดการเรียนแบบเดิม ๆ เมื่อ Squirrel AI นั้นได้เข้ามาแทนที่ครูที่เป็นมนุษย์แบบเดิม ๆ ด้วยอัลกอริทึม AI ซึ่งจะจัดการกับบทเรียนต่าง ๆ ของนักเรียนแทน

ซึ่งหลังจากที่ได้ทำการทดลองที่โรงเรียนมัธยมในเมืองหางโจว พบว่า เมื่อสิ้นสุดภาคการศึกษา คะแนนสอบของนักเรียนเพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 62.5% และในอีก 2 ปีถัดมาเพิ่มขึ้นเป็น 85% จากการสอบครั้งสุดท้ายของการเรียนในระดับชั้นมัธยม

มันเป็นการยกระดับการศึกษาครั้งสำคัญโดยใช้เทคโนโลยีอย่าง AI ในประเทศจีน และต้องบอกว่าในปัจจุบันนักเรียนนับล้านคนของประเทศจีน ใช้รูปแบบของ AI ในการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมการสอนนอกหลักสูตร หรือแม้กระทั่งในห้องเรียนหลักของพวกเขาก็ตาม ถือว่าเป็นการทดลองครั้งใหญ่ที่สุดของโลกเกี่ยวกับ AI ในด้านการศึกษาเลยก็ว่าได้

ซึ่งต้องบอกว่า Squirrel AI นั้น เป็นหนึ่งในบริษัทการศึกษา AI ที่ใหญ่ที่สุดในจีน และในฐานะที่พวกขาเป็นที่หนึ่งในประเทศ พวกเขาก็พร้อมที่จะเผยแพร่วิธีการดังกล่าวไปยังต่างประเทศ

Derek Li ผู้ก่อตั้ง Squirrel AI ยังได้เปิดห้องปฏิบัติการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon เพื่อศึกษาการเรียนรู้ส่วนบุคคลโดยใช้เทคโนโลยี AI และจะทำการส่งออกเทคโนโลยีดังกล่าวไปทั่วโลก

Derek Li ผู้ก่อตั้ง Squirrel AI
Derek Li ผู้ก่อตั้ง Squirrel AI

สามสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการศึกษาด้วย AI ของจีน ประการแรกคือเรื่องการลดหย่อนภาษี และ สิ่งจูงใจอื่น ๆ สำหรับบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI ที่ปรับปรุงทุกอย่างตั้งแต่การเรียนรู้ของนักเรียนไปจนถึงการฝึกอบรมครู รวมถึงการจัดการและบริหารโรงเรียน

ประการที่สองคือ การแข่งขันทางวิชาการในจีน นั้นดุเดือดเป็นอย่างมาก มีนักเรียนกว่า 10 ล้านคนในแต่ละปี ที่ต้องสอบ gaokao เพื่อเข้าสู่มหาวิทยาลัย ซึ่งคะแนนนี้นี่เองที่จะเป็นตัวกำหนดว่าจะได้เรียนในระดับปริญญาหรือไม่ และ ที่มหาวิทยาลัยใด

ในประเทศจีน การเข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ นั้นถือเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของนักเรียนแต่ละคนเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าผู้ปกครองก็เต็มใจที่จะจ่ายเงินสำหรับการสอนพิเศษ หรือ สิ่งอื่นใดที่จะช่วยให้บุตรหลานของพวกเขาประสบความสำเร็จในการสอบ

ซึ่ง Squirrel AI ก็มุ่งเน้นไปที่การช่วยให้นักเรียนทำคะแนนได้ดีขึ้น ในการทดสอบมาตรฐานประจำปี หรือ gaokao มีการออกแบบระบบให้วิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้น และปรับแต่ง ทำนายรูปแบบความเป็นไปได้ ที่จะส่งผลให้คะแนนของนักเรียนดีขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีอย่าง AI

สำหรับ Li ผู้ก่อตั้ง Squirrel AI นั้น วิสัยทัศน์ของเขาไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การติวนักเรียนเพียงเท่านั้น เขามีความทะเยอทะยานที่จะบูรณาการหลักสูตรเข้ากับห้องเรียนหลักโดยตรง ซึ่ง Squirrel กำลังหารือกับโรงเรียนหลายแห่งในประเทศจีนเพื่อให้ระบบดังกล่าวกลายเป็นระบบหลักในการเรียนการสอนในประเทศจีน

“เราต้องการเปลี่ยนแปลงอนาคตของการศึกษาจีนด้วยเทคโนโลยี” Li กล่าวเสมอ การทดลองจำนวนมากในปัจจุบันของจีนในการศึกษาด้วยเทคโนโลยี AI โดยวิธีการปฏิวัติดังกล่าวอาจเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของโลกเราไปตลอดกาล

References : https://www.compasslist.com/insights/squirrel-ai-edtechs-ai-based-personalized-tutoring-eases-load-for-students-and-teachers
https://www.technologyreview.com/2019/08/02/131198/china-squirrel-has-started-a-grand-experiment-in-ai-education-it-could-reshape-how-the

ความเน่าเฟะของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสู่การฉ้อโกง Admissions ครั้งใหญ่ของอเมริกา

เป็นสารคดีที่ถืว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากที่มาลงใน Netflix อย่าง Operation Varsity Blues: The College Admissions Scandal ที่ว่าด้วยเรื่องราวการฉ้อโกงครั้งใหญ่ในการพาบรรดาเหล่าลูกเศรษฐีเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา

ปัญหาเรื่องข้อจำกัดการรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อดังนั้น ถือว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะตัวเลือกดัง ๆ ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกานั้นก็มีอยู่อย่างจำกัด แต่จำนวนนักเรียนที่เรียนจบมัธยมนั้นมีอยู่มหาศาล

ความน่าสนใจของสารคดีกึ่งภาพยนตร์ชุดนี้ก็คือ การที่นำเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ที่มีการแอบดักฟังการสนทนาจากเจ้าหน้าที่ FBI มาถ่ายทอดผ่านตัวละครใหม่ ซึ่งทุกตัวละครนั้นมีอยู่จริง และเสียงการสนทนาทั้งหมดก็ถอดมาจากเรื่องจริง

ตัวละครหลักของสารคดีชุดนี้คือ Rick Singer อดีต โค้ช บาสเก็ตบอลมหาวิทยาลัย ที่ได้ผันตัวเองมาเป็นเป็นที่ปรึกษาอิสระด้านการเรียนต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งแน่นอนว่าอาชีพดังกล่าวนี้ ก็มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก เพราะมีลูกค้าจำนวนมากมายที่พร้อมจะจ่ายเพื่อให้ลูกหลานได้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ

แต่สิ่งที่ Rick ทำนั้นแตกต่างออกไป เมื่อเขาเห็นช่องทางบางอย่างที่เรียกว่า “​side door” เป็นช่องทางที่ใช้การฉ้อโกงผ่านการยัดเงินให้กับบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับการรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำ

โดย Rick จะโฟกัสไปที่เหล่าโควต้าพิเศษ ที่เป็นโควต้าทางด้านกีฬา ซึ่งถือเป็นจุดที่สามารถที่จะใช้เงินเพื่อพาบรรดาเหล่าลูกหลานเศรษฐีชื่อดัง เข้าไปได้ง่ายสุด และใช้เงินที่ต่ำที่สุด

แน่นอนว่าเหล่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Harvard , Stanford หรือ Yale นั้นก็มีช่องทางตรงสำหรับเหล่าเศรษฐีที่เงินทุนหนา ที่ต้องบริจาคเพื่อส่งลูกหลานเข้าไปร่ำเรียน แต่ก็ต้องใช้เงินสูงมาก ว่ากันว่าต้องใช้เงินหลัก 10-20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว ถึงจะใช้ช่องทางนี้ได้

ซึ่งนี่เองที่ทำให้ Rick เห็นช่องว่างทางธุรกิจที่สำคัญ คือเหล่านักธุรกิจ ที่อาจจะไม่ได้ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี แต่ก็เป็นกลุ่มคนชั้นสูงของอเมริกา ที่พร้อมจ่ายเงินราว ๆ 500,000 เหรียญ – 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้ลูก ๆ ของพวกเขาได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังได้

ซึ่ง Rick ก็ได้ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นที่พึงพอใจของเหล่าบรรดาเศรษฐี เขาใช้กลวิธีที่แนบเนียน โดยเลือกกีฬาที่ไม่ดังมาก เช่น โปโลน้ำ เรือใบ หรือ ทีมที่มหาวิทยาลัยนั้น ๆ ไม่เก่งเช่น ฟุตบอล หรือ บาสเกตบอล

และเนื่องด้วยกลวิธีดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ทุกคนต่าง happy เพราะ Win-Win กันทุกฝ่าย ทางทีมงานที่ได้รับเงินที่มหาวิทยาลัยก็อาจจะได้ทุนไปใช้ในหน่วยงานของตน หรือ อาจจะนำไปใช้ส่วนตัว และส่วนใหญ่ เป็นหน่วยกีฬาที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ทำให้เรื่องดังกล่าวสามารถทำได้ติดต่อกันยาวนานตั้งแต่ปี 2011-2018

แต่สุดท้ายเรื่องก็แตก เพราะทาง FBI นั้นได้ดักฟังการทำงานของ Rick อยู่นานแล้ว และดูเหมือนว่าไม่มีใครเอะใจกับเรื่องดังกล่าวเลย คือ FBI ก็ปล่อยให้ Rick ทำไปในระยะหนึ่ง ซึ่งหลักฐานทุกอย่างมันสามารถมัดตัว Rick ได้อย่างแน่นหนา

แต่สุดท้าย FBI ก็ต้องการจัดการกลุ่มผู้ว่าจ้าง เหล่าบรรดา เซเลบ มหาเศรษฐีด้วย จึงใช้ Rick เป็นนกต่อ เพื่อดึงเครือข่ายทั้งหมดออกมา และทำการจับกุม ขังคุก ให้เป็นตัวอย่าง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกในอนาคตนั่นเอง

ต้องบอกว่า ถือเป็นอีกเรื่องราวที่น่าสนใจ กับปัญหาเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีอยู่ทั่วโลก ปัญหาเรื่องการจัดอันดับมหาวิทยาลัย มหาลัยชั้นนำก็พยายามที่จะดันอันดับของตัวเองให้สูงที่สุด

เรื่องของ University Ranking นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจล้วน ๆ มหาวิทยาลัยดัง ๆ ได้อันดับเพราะทำตาม KPI ของบริษัทจัดอันดับ ซึ่ง KPI แต่ละตัวนั้น ก็ไม่ได้เป็นสิ่งการันตีใด ๆ ว่า นักศึกษาจะได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดตามลำดับที่จัดมานั้นจริง ๆ

การจัดอันดับเหล่านี้ นี่เอง ที่ทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงมาก ซึ่งคงไม่ใช่แค่ในอเมริกา แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วโลก ซึ่งจากการถ่ายทอดในสารคดีชุดนี้ ก็มีนักวิชาการหลายคนที่ออกมากล่าวถึง มาตรฐานการศึกษา ที่ไม่ได้ต่างกันเว่อร์ขนาดที่ว่าต้องไปแย่งกัน เสียเงิน ฉ้อโกงกันขนาดนั้น โดยเฉพาะในประเทศอเมริกา

และเมื่อเงินมันเป็นสิ่งล่อใจที่สำคัญ มันก็ทำให้คนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการดังกล่าวนั้น หาช่องทางที่จะทำเงินจากอันดับของมหาวิทยาลัย และแน่นอน ว่าเรื่องดังกล่าว มันก็เกิดขึ้นคล้าย ๆ กันในประเทศไทย เราจะได้เห็นข่าวมากมายในเรื่องการจ่ายสินบนเพื่อให้ได้เข้าเรียนโรงเรียนดี ๆ ดัง ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับสูง ๆ

แต่สุดท้าย ต้องบอกว่า ตอนนี้โลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ในอนาคตเหล่ามหาวิทยาลัย อาจจะถูก Disrupt โดยเทคโนโลยี ซึ่งในอนาคตการเรียนในมหาวิทยาลัยอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป

ในอดีต ทางเลือกอาชีพ อาจจะมีไม่มาก เช่น วิศวกร แพทย์ บัญชี กฏหมาย ตำรวจ ทหาร แต่จากโลกที่เปลี่ยนไปตอนนี้ได้เกิดอาชีพใหม่ ๆ ที่ทำเงินได้มากมาย โดยไม่จำเป็นต้องไปร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยเลยเสียด้วยซ้ำ

การ take course สั้น ๆ เพื่อมุ่งสู่การทำงานเลยนั้น น่าจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะหลาย ๆสิ่ง มันพิสูจน์มาแล้วว่า การเรียนในมหาวิทยาลัย 4 ปีนั้น ในบางวิชาที่เราอุตส่าตั้งใจร่ำเรียนมา มันแทบจะไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตจริงของเราเลยนั่นเองครับผม

Geek Monday EP86 : AutoStore กับเทคโนโลยีหุ่นยนต์คลังสินค้าอัตโนมัติ สู่การปฏิวัติ Ecommerce

SoftBank ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมและการลงทุนของญี่ปุ่นกำลังเพิ่มเดิมพันกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและหุ่นยนต์ด้วยการลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้ง

บริษัท กำลังลงทุน 2.8 พันล้านดอลลาร์สำหรับการถือหุ้น 40% ใน AutoStore ซึ่งเป็น บริษัท ในนอร์เวย์ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคลังสินค้าอัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการดำเนินงานอีคอมเมิร์ซ 

AutoStore กล่าวในแถลงการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าการลงทุนครั้งนี้เป็นการให้ความสำคัญกับ บริษัท และ ช่วยเร่งการขยายตัวทั่วโลกของ AutoStore โดยเน้นเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/32plpt7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/IhFeSBVb1pY