Blood Oil ตอนที่ 13 : Ruthless Saudi Leader

สำหรับเมืองใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองส่วนใหญ่นั้น การแข่งขัน Formula E ไม่ถือว่าเป็นงานใหญ่อะไรนัก แต่สำหรับริยาด ซึ่งความบันเทิงสาธารณะส่วนใหญ่ถูกห้ามมาเป็นเวลากว่าสี่ทศวรรษ การมาถึงของการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการแข่งขันครั้งแรกในซาอุดิอาระเบียนั้น ถือเป็นการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดที่เมืองนี้เคยมีมา

มันเพิ่งผ่านไปเพียงแค่ 2 เดือน นับตั้งแต่การสังหารโหดคาชอกกี และโมฮัมเหม็ดต้องการแก้ไขภาพลักษณ์ด้วยงานมหกรรมการแข่งขันรถยนต์นานาชาติในครั้งนี้

กีฬาระหว่างประเทศเป็นหนึ่งในเสาหลักของการสร้างสรรค์สังคมและเศรษฐกิจใหม่ของอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย และที่สำคัญยานพาหนะแบบขับเคลื่อนโดยไฟฟ้านั้น ถือเป็นหนึ่งในแผนการที่สำคัญของเขา

โมฮัมเหม็ดจึงได้เล่นใหญ่ในการจัดงานใหญ่ครั้งแรกครั้งนี้ของริยาด เขาเชิญคนดังหลายสิบคนจากโลกบันเทิงและโลกธุรกิจ เช่น เอ็นริเก อิเกลเซียสมาเล่นคอนเสิร์ตเปิดงาน รวมถึงเวย์น รูนีย์นักฟุตบอลระดับซุปเปอร์สตาร์ชาวอังกฤษที่บินไปร่วมงานด้วยเช่นกัน

ส่วนเหล่านักธุรกิจนายธนาคารจากฝั่งตะวันตกนั้น ก็เริ่มลดน้อยลงหลังจากปัญหาของคาชออกี มีเพียงไม่กีรายที่ยอมที่จะออกหน้ามาเข้าร่วมงานกับโมฮัมเหม็ดในครั้งนี้

Andrew Liveris อดีต CEO ของ Dow Chemical , Norman Roule อดีตเจ้าหน้าที่ CIA , Tom Kaplan นักลงทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติชาวอเมริกัน , มหาเศรษฐีอย่าง คาร์ลา ดิเบลโล หรือ มาร์ติน สมิธ ผู้สื่อข่าวของ PBS Frontline ที่เข้ามาอยู่ใน Zone VIP เพื่อเข้าร่วมงานดังกล่าวพร้อมโมฮัมเหม็ด ซึ่งทุกคนต่างมีเหตุผลของตนเองที่จะรักษาความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบีย

ต้องบอกว่าในสายตาโลกตะวันตกและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน การตอบสนองของรัฐบาลซาอุดิอาระเบียต่อการสังหาร คาชอกกี นั้นน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก

เหล่าชายที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการฆาตรกรรมสุดโหด มีการพิจารณาคดีโดยไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ต่อสาธารณะดังนั้นจึงมีข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับหลักฐานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในคดีฆาตรกรรมประวัติศาสตร์ครั้งนี้

กษัตริย์ซัลมานเองก็ทำอะไรได้เพียงเล็กน้อย และเพื่อควบคุมนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวของโมฮัมเหม็ด อิบราฮัม อัล อัสซาฟ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งถูกขับอยู่ที่ The Ritz ในช่วงสั้น ๆ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่

ในเดือนมิถุนายน แอกเนส คัลลามาร์ด ผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติได้เปิดเผยรายงานของเธอเกี่ยวกับการสังหารคาชอกกี โดยเธอเรียกมันว่า “การสั่งฆ่าโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน” มีรายละเอียดมากมายที่ดูเหมือนจะสร้างความเสียหายให้กับทีมที่สถานกงสุลของซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมีการเรียก คาชอกกี ว่าเป็น “สัตว์บูชายัญ” ในบันทึกลับและพูดถึงการตัดเขาเป็นชิ้น ๆ เมื่อสิบสามนาทีก่อนที่เขาจะเข้าไปในสถานทูตเสียด้วยซ้ำ

แต่กระนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่โมฮัมเหม็ดเดินหน้าไปแล้วก็ยังถูกสานต่อ โมฮัมเหม็ดได้สั่งให้มีการทำ IPO กับ Aramco ในตลาดหลักทรัพย์ของซาอุดิอาระเบียแทน ในที่สุดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ปี 2019 หุ้น Aramco ก็ได้ขึ้นสู่กระดานซื้อขายได้สำเร็จ

และส่วนใหญ่ก็เป็นเงินลงทุนที่มาจากนักลงทุนระดับภูมิภาคและในท้องถิ่นเกือบทั้งหมด ซึ่งบางคนต้องซื้อหุ้นหลังจากได้รับการกดดันจากราชสำนัก แต่ท้ายที่สุดรัฐบาลของโมฮัมเหม็ดก็สามารถระดมทุนได้ 25,600 ล้านดอลลาร์ ด้วยมูลค่ากิจการกว่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ โมฮัมเหม็ดสามารถทำหุ้น IPO ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ โดยไม่มีใครมาขัดขวางเขาได้

แม้จะมีข่าวที่น่าผิดหวังเกี่ยวกับการลงทุนของ SoftBank มูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้เกิดฟองสบู่ในธุรกิจดอทคอม ที่กองทุนได้เทเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับหลากหลายบริษัทเช่น WeWork แอปพลิเคชั่นสำหรับสุนัข Wag และ บริษัทก่อสร้างอย่าง Katerra

จากนั้นในเดือนกันยายน ก็มีข่าวร้ายเพิ่มขึ้นอีก เมื่อโดรนและขีปนาวุธที่คาดว่าเป็นของกลุ่มกบฏฮูติในเยเมน ได้ระเบิดอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่โรงงาน Abqaiq ซึ่งเป็นโรงงานที่เป็นฐานที่มั่นสำคัญของซาอุดิอาระเบียเพื่อใช้ในการขนส่งน้ำมันไปทั่วโลก

เหตุโจมตี Abqaiq กับการป้องกันที่มีความเปราะบางของซาอุฯ
เหตุโจมตี Abqaiq กับการป้องกันที่มีความเปราะบางของซาอุฯ (CR:Intelyse)

มันเป็นเวลาหลายสิบปีที่รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้ ซาอุฯ ใช้เงินบางส่วนที่พวกเขาใช้ไปกับโครงการใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น King Abdullah Economic City และ NEOM ของ โมฮัมเหม็ด เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยขั้นพื้นฐานสำหรับโครงสร้างพื้นฐานทางด้านน้ำมันของพวกเขา

Abqaiq และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอื่น ๆ นั้นอยู่ในระยะขีปนาวุธของอิหร่าน ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามไม่เพียงแต่เสถียรภาพของซาอุดิอาระเบียเท่านั้น แต่เป็นภัยคุกคามต่อตลาดน้ำมันทั่วทั้งโลก

ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกมาก ๆ ท่อในอาคารและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญหลายแห่งของโรงงาน Abqaiq ในการแยกสิ่งสกปรกออกจากน้ำมันดิบนั้นยังไม่ได้ถูกทำลายหลังการโจมตีในครั้งนี้

แต่โมดูลสเฟียรอยด์หลายตัวที่มีลักษณะเหมือนโดมโลหะที่ถูกบีบและแยกก๊าซออกจากน้ำมันนั้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ชัดเจนสำหรับเจ้าหน้าที่จาก Aramco และรัฐบาลว่าผู้โจมตีต้องการอะไร

ด้วยเทคโนโลยีการทำแผนที่และการกำหนดเป้าหมายอย่างแม่นยำ พวกเขาเลือกโจมตีเฉพาะส่วนประกอบที่สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ต้องบอกว่าการโจมตีครั้งนี้มันเป็นเพียงแค่คำเตือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอิหร่านสามารถทำอะไรได้บ้าง

ซึ่งนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวมาก ๆ แม้อิหร่านจะมีเงินน้อยกว่าซาอุดิอาระเบียในการใช้จ่ายด้านการซื้ออาวุธ แต่การโจมตีครั้งนี้มันแสดงให้เห็นว่าเรื่องเงินไม่ได้สำคัญ แม้ซาอุฯ จะสามารถกลับมาผลิตน้ำมันได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่นั่นคือความจงใจของอิหร่านที่จะสั่งสอนซาอุฯ เท่านั้น

สำหรับซาอุดิอาระเบียนั้น การโจมตีครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาใหญ่สองประการ ประการแรกแม้โมฮัมเหม็ดจะสามารถควบคุมอำนาจจากราชวงศ์ได้สำเร็จ แต่ระบบป้องกันประเทศยังคงระส่ำระส่าย ซาอุฯ มีขีปนาวุธแพทริออตที่จะยิงใส่โดรนได้ไม่ยากนัก แต่ไม่มีระบบใดที่กระทรวงกลาโหมจะสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนระบบราชการที่เป็นกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ยังไม่มีคนสามารถตัดสินใจเรื่องใหญ่ ๆ อย่างการป้องกันประเทศที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ

ปัญหาใหญ่อีกประการก็คือความเป็นพันธมิตรระหว่างซาอุดิอาระเบียกับสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเวลาหลายทศวรรษที่เจ้าหน้าที่อเมริกันมองว่าอาณาจักรซาอุฯ และอุตสาหกรรมน้ำมันมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของโลก

เจ้าหน้าที่ทางการทูต ทหาร และหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับซาอุฯ และมุ่งมั่นที่จะปกป้องแหล่งน้ำมันเพื่อขจัดภัยคุกคามจากซัดดัม ฮุสเซนในทศวรรษที่ 1990

โครงสร้างการป้องกันประเทศที่ไม่มีความปะติดปะต่อ คือ เมื่อก่อนสหรัฐฯ เป็นผู้นำในการป้องกันซาอุดิอาระเบียให้ปลอดภัย

แต่สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วระหว่างต้นปี 1990 ถึง 2019 ที่สหรัฐอเมริกาได้กลายมาเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2013 นั่นทำให้เศรษฐกิจอเมริกันไม่ได้พึ่งพาน้ำมันของซาอุดิอาระเบียอีกต่อไป

“นั่นเป็นการโจมตีซาอุดิอาระเบีย” ทรัมป์กล่าว “นั่นไม่ใช่การโจมตีเรา”

หากสหรัฐฯตัดสินใจที่จะดำเนินการใด ๆ กับอิหร่าน ทรัมป์ได้กล่าวเสริมว่า ซาอุดิอาระเบียต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยโดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งในที่สุดทรัมป์ก็ส่งทหารไปยังภูมิภาคนี้และสหรัฐฯ ได้สังหารนาย Qassem Soleimani นายพลผู้ทรงอิทธิพลของอิหร่านในการโจมตีทางอากาศหลายเดือนต่อมา

เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากการถูกโจมตีโรงน้ำมันที่ Abqaiq และเพียงหนึ่งปีหลังจากการฆาตรกรรมของ คาชอกกี และความโกลาหลทั่วโลกที่ตามมา

โมฮัมเหม็ดต้องการแสดงให้เห็นว่าซาอุดิอาระเบียยังคงสามารถดึงคนที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในโลกได้ ซึ่งงาน “Red Sea Week” ซึ่งเป็นงานที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้สร้างโรงแรมและโครงสร้างพื้นฐานในโครงการ NEOM

The Serene เรือซุปเปอร์ยอชต์ที่โมฮัมเหม็ดซื้อในปี 2015 ได้กลายมาเป็นสถานที่จัดงานรับดับ VIP ดังกล่าว ซึ่งมีผู้มีชื่อเสียงหลายคนไม่ว่าจะเป็น Fang Fenglei นักการเงินชาวจีนที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้ปกครองพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศจีน

Mukesh Ambani ผู้ประกอบการที่บริหารบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย รวมถึง Tahnoon bin Zayed ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอาบูดาบี ได้เข้ามาที่ The Serene และมาใช้เวลาพูดคุยเจรจากับโมฮัมเหม็ด

The Serene พระราชวังเคลื่อนที่ของโมฮัมเหม็ด
The Serene พระราชวังเคลื่อนที่ของโมฮัมเหม็ด (CR:yachtcharterfleet)

ต้องบอกว่า The Serene นั้นเป็นมากกว่าบ้านเคลื่อนที่ของโมฮัมเหม็ด เมื่อรวมกับกองเรือสนับสนุนแล้ว มันก็เปรียบดั่งอาคารพระราชวังที่ติดอาวุธลอยน้ำซึ่งเขาสามารถบริหารประเทศได้อย่างปลอดภัยจากผู้ก่อการร้ายอิสลามหรือผู้วางแผนทำการรัฐประหาร

เรือยอทช์เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับโมฮัมเหม็ดในขณะที่เขาพยายามดึงซาอุดิอาระเบียเข้าสู่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

บ่ายวันหนึ่ง Masayoshi Son และ โมฮัมเหม็ด ออกเดินทางด้วยเรือเล็กไปยังแนวปะการังที่เก่าแก่และดำน้ำดูปะการังนานกว่าหนึ่งชั่วโมง นอกจากมาพักผ่อนแล้ว จุดประสงค์ของ Masayoshi ก็คือ การพยายามระดมทุนอีก 1 แสนล้านดอลลาร์

เขาต้องการเงินลงทุนของโมฮัมเหม็ดอีกครั้ง แม้ในขณะนั้นกองทุน Vision Fund ก้อนแรกกำลังเผชิญกับความผิดพลาดครั้งใหญ่ใน WeWork ซึ่งเป็นบริษัทให้เช่าสำนักงาน บริษัทสตาร์ทอัพ ที่กำลังเจอกับปัญหาร้ายแรง

หาก SoftBank ไม่เพิ่มทุนขึ้นเป็นสองเท่า การลงทุนครั้งนี้ที่เป็นครั้งแรกจากกองทุน Vision Fund ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานที่ไม่ดีของการลงทุนอื่น ๆ ในกองทุน

มาถึงตอนนี้ต้องบอกว่าในโลกเรามีนักธุรกิจอย่างโมฮัมเหม็ดอยู่ไม่มากนัก ผู้ที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างไม่จำกัด และมีความสามารถในการตัดสินใจในไม่กี่วินาทีว่าจะทำอย่างไรกับมัน และพลังอำนาจที่จะเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ของโลกเราได้

แม้เขาจะดูเหมือนกับไร้ความปราณี กับการตัดสินใจในบางครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามการทุจริตครั้งใหญ่ที่ The Ritz หรือผลที่เกิดขึ้นจากการฆาตกรรมของคาชอกกี

แต่เขาก็ได้กลายเป็นบุคคลที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ความสัมพันธ์ของเขากับประธานาธิบดี ทรัมป์นั้นยังดีอยู่ เพราะสิ่งที่สำคัญคือวิธีที่เงินของซาอุดิอาระเบียเชื่อมโยงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ผ่านทาง Blackstone และบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Vision Fund ของ SoftBank

โมฮัมเหม็ดเป็นเจ้าชายที่แทบจะไม่มีใครรู้จักเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ปี 2015 เขาเพิ่งจะขึ้นมามีอำนาจ ปี 2016 กับการเปิดวิสัยทัศน์เพื่อปฏิรูปประเทศ ปี 2017 ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ปี 2018 กับการขยายไปทั่วโลกและผลกระทบจากการฆาตรกรรมคาชอกกี และ ปี 2019 ได้กลายเป็นปีแห่งการหาพันธมิตรใหม่และมุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง

ต้องบอกว่าเมื่อมาถึงตอนนี้ เขาเป็นเจ้าชายคนเดียวที่มีอำนาจและเงินตรามากกว่าเจ้าชายคนใดในโลกนี้ เขาได้กลายมาเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก การควบคุมราคาน้ำมัน หรือ การจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวไปนั้น ล้วนแล้วแต่สามารถที่จะเสกมันได้ดั่งเวทมนต์จากเจ้าชายที่ชื่อ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน นั่นเองครับผม

ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของ Blog Series ชุดนี้แล้วนะครับ อย่าลืมติดตามบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด และ อนาคตข้างหน้าของโลกเราที่อยู่ในกำมือของหนึ่งในบุคคลที่มีพลังอำนาจอันล้นเหลืออย่างโมฮัมเหม็ด บทสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร อย่าลืมติดตามต่อในตอนจบของ Sereis ชุด Blood Oil : The Rise to Power of Mohammed Bin Salman กันนะครับผม

–> อ่านตอนที่ 14 : The Future of Us (ตอนจบ)

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ