Blood Oil ตอนที่ 12 : Saudi Royals Fall

ภายในทำเนียบประธานาธิบดี แอร์โดอัน เหล่าเจ้าหน้าที่กำลังตกตะลึง ขณะกำลังฟังบรรยาสรุปจากหน่วยงานความมั่นคงของตุรกี ซึ่งจากการตรวจสอบบันทึกเบื้องต้นจากอุปกรณ์ดักฟัง ที่แอบไว้ในสถานทูตก่อนที่จะเกิดเหตุกับ คาชอกกี มันมีหลักฐานที่บอกว่าการฆาตกรรมสยดสยองครั้งนี้มันได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว

หนึ่งชั่วโมงก่อนการสังหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านซากศพ อธิบายในแง่วัตถุประสงค์อย่างชัดเจนว่าการหั่นศพของ คาชอกกี เป็นชิ้น ๆ นั้นยากเพียงใด จากนั้นมีการอ้างอิงถึง “สัตว์บูชายัน” และเสียงที่ดังขึ้นของผู้ชายที่หั่นร่างกาย คาชอกกี ทันที หลังจากเขาถูกฆ่า

ประธานาธิบดี แอร์โดอัน ตะโกนลั่น “นี่มันเป็นเรื่องเลวร้ายมาก ๆ มันเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าชัด ๆ” คาชอกกี ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักข่าวต่างชาติทั่วไปที่ถูกฆ่าในตุรกี แอร์โดอัน ได้พบเขาเป็นการส่วนตัวหลายครั้ง และปรึกษาเขาเกี่ยวกับการพัฒนาของประเทศซาอุดิอาระเบียและเรื่องราวของโลกอาหรับเชิงลึก

หลังจากได้รับข้อมูลทั้งหมด ประธานาธิบดี แอร์โดอัน เริ่มที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสังหาร คาชอกกี ต่อสาธารณะ และส่งสัญญาณชัดเจนว่ากษัตริย์ซัลมานจำเป็นต้องส่งทูตของราชวงศ์เพื่อมาหารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

แอร์โดอัน เห็นว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้พบกับโมฮัมเหม็ด และ จุดยืนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตุรกี และอาจโน้มน้าวให้กษัตริย์ซัลมานลดทอนอำนาจของโมฮัมเหม็ดลง

ในตอนแรกฝั่งซาอุฯ เอง ก็ไม่ทราบว่าทางฝั่งตุรกีมีข้อมูลเกี่ยวกับการฆาตรกรรมดังกล่าวมากเพียงใด แทนที่จะรีบเดินทางไปตุรกี ทีมงานของโมฮัมเหม็ดปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใด ๆ เกี่ยวกับการสังหาร

ในคืนที่เกิดเหตุ โมฮัมเหม็ด ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับแผนทางด้านเศรษฐกิจ ผู้สื่อข่าวได้ยิงคำถามเกี่ยวกับ คาชอกกี

“เราได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น” โมฮัมเหม็ดบอกกับนักข่าวด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

คาลิดน้องชายของโมฮัมเหม็ดที่เป็นทูตประจำสหรัฐฯ ทวีต ว่า “ผมขอรับรองกับคุณว่า ผู้สื่อข่าวที่รายงานเรื่อง คาชอกกี ได้หายตัวไปในสถานกงสุลในอิสตันบูล หรือ มีเจ้าหน้าที่จากซาอุดิอาระเบียควบคุมตัวเขาหรือสังหารเขานั้นเป็นเรื่องเท็จอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำปฏิเสธอย่างหนักแน่นจากฝั่งซาอุดิอาระเบีย แอร์โดอัน ได้ส่งรายละเอียดต่าง ๆ ของหลักฐานที่เขามีไปยังสื่อมวลชนทันที รวมถึงเปิดเผยสิ่งที่น่าทึ่ง ที่สมาชิกคนหนึ่งของทีมสังหารนำเลื่อยซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธหั่นศพเข้ามาในประเทศเมื่อเขาลงจากเครื่องบินเจ็ตของโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน

นั่นเองที่ทำให้โมฮัมเหม็ด ถูกตั้งฉายาว่า “Mister Bone Saw” ต้องบอกว่าการที่รัฐบาลจะสังหารผู้คัดค้านนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้การฆาตกรรม คาชอกกี กลายเป็นประเด็นที่คนทั่วโลกสนใจ ก็คือ รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการฆาตรกรรม ความโหดเหี้ยมของนักฆ่า ที่หั่นร่าง คาชอกกี ออกเป็นชิ้น ๆ เหมือนคนขายเนื้อ

ต่อมาโมฮัมเหม็ดก็ออกมาตอบโต้อย่างดุเดือด เขาได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับการที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดใส่พลเรือนทั่วตะวันออกกลางมานานหลายทศวรรษ ทำไมพวกเขาถึงไม่ถูกประนามบ้าง

แม้จะออกมาพูดจากระทบกระทั่งไปยังสหรัฐฯ แต่ดูเหมือนด้วยความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับทางฝั่งทำเนียบขาว และเงินลงทุนจำนวนมหศาลของ โมฮัมเหม็ดที่สหรัฐอเมริกา นั่นทำให้ทรัมป์ใช้เวลาหลายวันในการแสดงความคิดเห็นในเรื่องการถูกฆาตกรรมของคาชอกกี ที่ดูเหมือนจะช่วยปกป้องโมฮัมเหม็ด

ไม่กี่วันต่อมา Washington Post ได้ตีพิมพ์คอลัมน์สุดท้ายของ คาชอกกี ภายใต้หัวข้อ “What the Arab World Needs Most Is Free Expression” มันชี้ให้เห็นว่า รัฐมีอิทธิพลเหนือจิตใจของประชาชนในโลกอาหรับอย่างไร แต่ก็ยังยกย่องว่ารัฐบาลกาตาร์สนับสนุนการรายงานข่าวระหว่างประเทศอย่างไร

สำหรับผู้อ่านชาวตะวันตกที่รู้สึกโกรธแค้นจากการฆาตรกรรม คาชอกกี รู้สึกเหมือนเป็นบทความที่สมบูรณ์แบบจากนักข่าว แต่เหล่าผู้ชมชาวซาอุดิอาระเบียหลายคนเห็นว่า มันเป็นข้อพิสูจน์ว่า คาชอกกี กำลังทำงานกับศัตรูของประเทศอย่างชัดเจน

มีการแถลงแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งจากกระทรวงการต่างประเทศของซาอุดิอาระเบีย กษัตริย์ซัลมานและโมฮัมเหม็ดไปพบกับ ซาลาห์ คาชอกกี บุตรชายของคาชอกกีในริยาด

กษัตริย์ซัลมาน สั่งการให้มีการปฏิรูปเครื่องมือข่าวกรองและเปลี่ยนแปลงเพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานทั้งหมดจะเป็นไปตามสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชน และกฏหมายระหว่างประเทศ

โมฮัมเหม็ดได้รับเลือกให้เป็นประธานในความพยายามในการปฏิรูปดังกล่าว และ DynCorp ซึ่งเป็นบริษัทในสหรัฐฯ ได้ส่งทีมที่ปรึกษาเพื่อช่วยซาอุดิอาระเบียในการปรับปรุงขีดความสามารถด้านข่าวกรอง

เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่นักการเมืองต่างชาติ นักธุรกิจ และนายธนาคารที่เป็นพันธมิตรกับโมฮัมเหม็ดเริ่มทำตัวเหินห่างเขาทันทีหลังข่าวฆาตรกรรมคาชอกกี

Ari Emanuel แห่งฮอลลีวูดยกเลิกการลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ ที่เขาทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้มาจากกองทุนของโมฮัมเหม็ด โดยให้คำมั่นว่าจะคืนเงินและเลิกยุ่งเกี่ยวกับโมฮัมเหม็ด

Richard Branson ได้ถอนข้อตกลงมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์กับซาอุดิอาระเบีย สำหรับ บริษัทท่องเที่ยวในอวกาศของเขา แต่โดยส่วนตัว Branson ยังติดต่อกับโมฮัมเหม็ด เขาให้คำปรึกษาเจ้าชายว่าจะแก้ไขความเสียหายในสายตาของโลกตะวันตกอย่างไร โดยเริ่มจากการปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวสตรีบางคนที่ถูกจองจำในคุก

Branson ยกเลิกการลงทุนมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ในบริษัทท่องเที่ยวอวกาศ
Branson ยกเลิกการลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทท่องเที่ยวอวกาศ

ผู้นำทางธุรกิจคนอื่น ๆ ก็มีแนวทางที่คล้าย ๆ กัน Masayoshi Son แห่ง SoftBank ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุน Vision Fund หลีกเลี่ยงการประชุมโดยตรงกับโมฮัมเหม็ด แต่ก็ยังเดินทางไปซาอุดิอาระเบีย ผู้บริหารคนอื่น ๆ ของกองทุนก็หลีกเลี่ยงการพบกับโมฮัมเหม็ดเช่นเดียวกัน

แต่สำหรับบางคนความสัมพันธ์รวมถึงเงินลงทุนจำนวนมหาศาลจากกองทุนจากซาอุดิอาระเบียมันมีค่าเกินกว่าจะตัดสัมพันธ์ด้วยคดีฆาตรกรรมคาชอกกีเพียงอย่างเดียว

Bloomberg LP เดินหน้าร่วมทุนกับ บริษัทสื่อของตระกูล Salman Jay Penske ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของนิตยสาร โรลลิงสโตน โดยเดินหน้าด้วยเงินลงทุน 200 ล้านดอลลาร์จากกองทุนของซาอุฯ

ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ชาวอเมริกันชื่อ จอห์น เบอร์แบงก์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่างตรงไปตรงมาว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับ คาชอกกี ทั้งหมดนี้แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย” เขากล่าว “มันมีความหมายน้อยกว่าการเปิดเสรีครั้งใหญ่ที่สุด ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย”

เมื่อพูดถึงการลงทุนในซาอุดิอาระเบีย เขากล่าวเสริมว่า “ชีวิตของคน ๆ หนึ่งมันไม่ได้สำคัญ ยกเว้นแต่จะเป็นชีวิตของ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน สำหรับ คาชอกกี มันไม่สำคัญเลย”

ในขณะที่โลกการเงินกำลังก้าวผ่านความกังวล หน่วยข่าวกรองและเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติที่สอบสวนการฆาตกรรมที่พยายามค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับ คาชอกกี ในอิสตันบูล

ซึ่งภายในไม่กี่สัปดาห์ CIA กล่าวว่า โมฮัมเหม็ด ได้ส่งข้อความไปยัง คาห์ตานี อย่างน้อยสิบเอ็ดข้อความในช่วงเวลาของการสังหาร และสองเดือนก่อนการสังหาร CIA พบว่า โมฮัมเหม็ดได้บอกกับคนใกล้ชิดว่าหากเขาไม่สามารถโน้มน้าวให้ คาชอกกี กลับมาที่ซาอุฯ ได้ อาจจะต้องทำบางอย่างนอกซาอุดิอาระเบีย

รัฐบาลซาอุฯ ได้ประกาศเรียกร้องค่าเสียหายจากกลุ่มผู้ก่อการทั้ง 11 คน แม้ว่า คาห์ตานี จะไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นก็ตาม เขายังแสดงตัวอยู่รอง ๆ ราชสำนัก แม้ว่าเขาจะโดนโทษจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯก็ตามที

ในขณะเดียวกันฝั่งตุรกี แอร์โดอัน ก็ใช้หลักฐานทั้งหมดที่พวกเขามี เพื่อกดดันซาอุดิอาระเบีย โดยหวังว่า กษัตริย์ซัลมานจะลดทอนอำนาจบางส่วนของโมฮัมเหม็ดและมอบความรับผิดชอบด้านนโยบายต่างประเทศให้กับคนอื่น

ผู้นำตุรกีให้ความช่วยเหลือในการสอบสวนของแอกเนส คัลลามาร์ด นักวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนชาวฝรั่งเศสที่ร่วมกับมหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติในการสืบสวนคดีฆาตรกรรมของคาชอกกี

 คัลลามาร์ด ตัวแทนจากสหประชาชาติเข้ามาสอบสวนในคดีดังกล่าว
คัลลามาร์ด ตัวแทนจากสหประชาชาติเข้ามาสอบสวนในคดีดังกล่าว (CR:pri.org)

ไม่กี่เดือนหลังจากการฆาตกรรมคาชอกกี คัลลามาร์ดและทีมงานได้บินไปตุรกี การเดินทางไปรอบ ๆ เมืองอังการาของตุรกี เธอและทีมงานของเธอสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าถูกติดตามโดยเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของตุรกี แม้แต่กระทั่งในร้านกาแฟ

โดยเทปเสียงหลักฐานได้ถูกนำมาตีความโดยคาลามาร์ดและทีมงาน โดยได้ตั้งสมมติฐานว่า แผนการเริ่มต้นของ ซาอุฯ อาจจะเป็นการลักพาตัวคาชอกกี เท่านั้น แต่ในช่วงสองวันก่อนที่เขาจะไปสถานทูต ทีมงานตระหนักว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากเกินไปและตัดสินใจลงมือฆ่าแทน

ซึ่งทีมงานที่ได้ตรวจสอบเทปเสียงได้ยินเสียงของ คาชอกกี ที่กำลังหวาดผวาอย่างหนักในวาระสุดท้ายของชีวิต แม้เทปดังกล่าวจะมีการบันทึกจากทางการตุรกีไว้ถึง 7 ชั่วโมง แต่ทีมงานของคามาลาร์ด เล่นได้เพียงแค่ 45 นาทีเท่านั้น

“ตราบใดที่เทปยังไม่ถูกปล่อยออกมา ก็จะมีคำถามกับเรื่องคาชอกกีตลอดไป” หนึ่งในทีมงานที่ได้เข้าไปตรวจสอบเทป กล่าว

มันชัดเจนว่าพลังอำนาจของรัฐบาลซาอุดิอาระเบียนั้น มีผลเรื่องดังกล่าว และการที่ทางการสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะจัดทำเอกสารข่าวกรองจากคดีดังกล่าวออกสู่สาธารณะชน นั่นก็ทำให้เรื่องราวทั้งหมดถูกปกปิดไว้จนถึงวันนี้นั่นเองครับผม

ต้องบอว่าเรื่องราวสุดโหดของการสังหารคาชอกกี ในครั้งนี้นั้น มันได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราชวงศ์ ซาอุดิอาระเบีย รวมถึงตัวโมฮัมเหม็ดเอง ภาพลักษณ์ที่เขาได้สร้างมาหลายปี ได้ถูกทำลายด้วยการเดินเกมพลาดเพียงแค่ครั้งเดียว จะเกิดอะไรขึ้นต่อกับหนึ่งในชายผู้มีอำนาจมากที่สุดของโลก โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม

–> อ่านตอนที่ 13 : Ruthless Saudi Leader

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Geek Story EP79 : John’s Crazy Socks กับการก้าวผ่านอุปสรรคทางด้านร่างกายสู่ธุรกิจถุงเท้าร้อยล้าน

ต้องบอกว่าคนเราเกิดมานั้นมีสภาพทางร่างกายที่แตกต่างกัน เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดให้มีสภาพร่างกายสมบูรณ์แบบ 100% เช่นเดียวกันกับ John Cronin ที่มีอาการของดาวน์ซินโดรม แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใด ๆ กับการสร้างธุรกิจถุงเท้า John’s Crazy Socks ที่เขาแสนรัก

เรื่องราวมันเกิดขึ้นในปี 2016 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของโรงเรียนมันธยมปลายของ John ที่เขาได้เริ่มคิดถึงไอเดียของร้านถุงเท้า John’s Crazy Socks

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://bit.ly/3aPqw9O

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/bywhfGva4Jk