ตูร์กี บิน อับดุลลาห์ กำลังนอนหลับอยู่เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาถึงพระราชวังของเขาในตอนเช้ามืด เมื่อกษัตริย์อับดุลลาห์ แจ้งให้เข้าร่วมประชุมด่วนกับผู้อาวุโสของราชวงศ์อัล ซาอุด
“คุณต้องมาทันที” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของราชสำนักบอกกับ ตูร์กี ลูกชายของอดีตกษัตริย์อับดุลลาห์
ในขณะที่ขบวนรถกำลังเดินทางไปยังโรงแรม Ritz-Carlton ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นคุกชั่วคราว
อาคารผู้โดยสารของเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเหล่าเศรษฐีและราชวงศ์ถูกปิดตัวลง ธนาคารสั่งให้หยุดการทำธุรกรรมใด ๆ ที่รอดำเนินการสำหรับรายชื่อมากกว่า 380 ซึ่งรวมถึงกลุ่มเชื้อพระวงศ์อาวุโสหลายท่าน
เรียกได้ว่ามันเป็นการฉีดยาแรงครั้งสำคัญของโมฮัมเหม็ดในการกำจัดทุจริตของเหล่าเครือข่ายนักธุรกิจ ราชวงส์ และ ข้าราชการชั้นสูงที่มีมานานหลายทศวรรษ มันเป็นแผนการที่แยบยล โดยที่แทบจะไม่มีการรั่วไหล กับการดำเนินการขั้นเด็ดขาดของโมฮัมเหม็ดในครั้งนี้
สำหรับนักโทษแต่ละคนใน Ritz-Carlton ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต แต่ในหลายกรณีการจำคุกยังมีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านั้น
ตูร์กี บิน อับดุลลาห์ ลูกชายคนที่เจ็ดของกษัตริย์อับดุลลาห์ผู้ล่วงลับ ในฐานะรองผู้ว่าการและผู้ว่าการกรุงริยาดตั้งแต่ปี 2013-2015 เขามีส่วนสำคัญในโครงการรถไฟฟ้าของเมืองริยาดที่ล่าช้าและผลาญงบประมาณของรัฐมากเกินไป
โมฮัมเหม็ดและเหล่าทีมสืบสวนของเขากล่าวหาว่าตูร์กีคิดราคาแพงเกินไปสำหรับการติดตั้งราง ทำให้มีเงินใต้โต๊ะจำนวนมหาศาลเข้ากระเป๋าตูร์กี
แต่ต้องบอกว่าเหตุผลใหญ่ที่สุดที่เขาต้องมาถูกจองจำที่ The Ritz และถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงเป็นพิเศษ คือ บทบาทของเขาในการพยายามปลดกษัตริย์ซัลมานและโมฮัมเหม็ด โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนพิธีราชาภิเษกของซัลมาน ตูร์กีไม่ยอมรับหรือถูกตั้งข้อหาอาชญากรรมใด ๆ ต่อสาธารณะ
สำหรับโมฮัมเหม็ด ไม่เพียงแค่เรื่องแนวคิดล้มล้างกษัตริย์ซัลมานเท่านั้น แต่ตูร์กียังได้สร้างปัญหาอีกมากมาย รวมถึงเรื่องอื้อฉาว 1MDB ของมาเลเซีย
ตูร์กีมีความสัมพันธ์ในต่างประเทศและพยายามอย่างเงียบ ๆ ที่จะบ่อนทำลายโมฮัมเหม็ดในช่วงสองปีแรกของการครองราชย์ของกษัตริย์ซัลมาน แต่ต้องบอกว่าตูร์กี ประเมินโมฮัมเหม็ดต่ำเกินไป
ตูร์กีคิดว่าตราบใดที่พี่ชายของเขา มิเทบ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยพิทักษ์แห่งชาติ และ โมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ ที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน คงไม่หาญกล้าที่จะทำอะไรบ้าๆ กับกลุ่มพี่น้องของเขาอย่างแน่นอน
และ ตูร์กียังมองว่า โมฮัมเหม็ดคงไม่มีสายลับ หรือ เทคโนโลยีอะไรที่จะมาดักฟังพวกเขา และยังประเมินความมุ่งมั่นของโมฮัมเหม็ดต่ำเกินไป
ดังนั้น ตูร์กี จึงประมาท เขาไม่ได้ใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสใด ๆ ในการสื่อสารเรื่องต่าง ๆ เขาใช้สายโทรศัพท์ธรรมดา ๆ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแผนการล้มล้างกษัตริย์ซัลมานอย่างเปิดเผย และระบายควาไม่พอใจโมฮัมเหม็ดออกมาผ่านการพูดคุยกับบุคคลกลุ่มต่าง ๆ
แต่เขาไม่ทราบว่าตั้งแต่แรกเริ่มโมฮัมเหม็ดได้ขยายอำนาจของเขา และสามารถเข้าถึงการสื่อสารและโทรคมนาคมทั่วประเทศได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตูร์กี เป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของโมฮัมเหม็ดมาตั้งแต่แรก เขาถูกนำมาทิ้งไว้ที่ห้องโถงของ The Ritz ที่กลายสภาพเป็นคุกชั่วคราว ต้องบอกว่าแม้จะเป็นลูกชายของอดีตกษัตริย์อับดุลลาห์ ก็ หนีสภาพดังกล่าวไปไม่ได้เหมือนกันในวันที่หมดอำนาจ
หลังจากถูกนำมาที่ The Ritz ชั่วคราว ตูร์กี ก็ถูกย้ายไปยังเรือนจำที่สกปรกซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งคุมขังฆาตรกร และผู้ค้ายาเสพติด และต่อมาก็ถูกย้ายไปยังสถานกักกันคนผิวดำ โดยไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้
มิเทบ ถูกกล่าวหารุนแรงไปอีกขั้น เขาเป็นผู้ดูแลกองกำลังพิทักษ์ชาติ ซึ่งเขาได้ทำการโอนที่ดินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับมูลนิธิ เปลี่ยนทรัพย์สินของรัฐบาลให้เป็นทรัพย์สินขององค์กรส่วนตัวของครอบครัวเขา
เหล่าผู้ถูกคุมขับที่ The Ritz หลายคนอาจจะดูเหมือนเป็นอิสระ แต่ก็อยู่ภายใต้เงื้อมมือของโมฮัมเหม็ด มิเทบได้ถูกสั่งให้ยิ้มและถ่ายรูปกับโมฮัมเหม็ดไม่นานหลังจากนั้นเพื่อออกสื่อ
นอกจากเหล่าเจ้าชายเชื้อพระวงศ์และรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ ๆ แล้ว นักธุรกิจที่มีชื่อเสียงของซาอุดิอาระเบียบางคนก็ถูกนำมาคุมขังด้วย
Fawaz al-Hokair นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีเพนต์เฮาส์สุดหรูที่สุดแห่งหนึ่งในแมนฮันตัน ใจกลางมหานครนิวยอร์ก โมฮัมเหม็ด อัล อามูดิ มหาเศรษฐีชาวซาอุดิอาระเบีย-เอธิโอเปียซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองและโรงกลั่นน้ำมันทั่วโลก ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตที่มีมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ
Ali al-Naimi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันของซาอุดิอาระเบียก็เป็นหนึ่งรายชื่อผู้ถูกคุมขัง เช่นเดียวกับ รามี ลูกชายของเขาที่ถูกจำคุกเช่นเดียวกัน ถูกกว่าหาว่าทุจริต แต่ชายทุกคนได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา โดยไม่ยอมรับการกระทำผิดใด ๆ ต่อสาธารณะ
สมาชิกห้าคนของครอบครัวบินลาเดน ก็ถูกยึดทรัพย์สินทุกอย่าง ทั้งบริษัทต่าง ๆ ไปจนถึงบ้านพักของบรรพบุรุษในริยาดและเจดดาห์ ก็ถูกยึดเป็นของรัฐทั้งหมด
เมื่อ Bakr bin laden ถูกนำตัวมาสอบปากคำ เขาต้องตกใจกับกองเอกสารที่ยาวครึ่งฟุต โมฮัมเหม็ดและทีมงานมีประวัติทางการเงินและรายการทรัพย์สินและรายละเอียดข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานให้กับเหล่าราชวงศ์ รวมถึง โมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ มกุฏราชกุมารที่เพิ่งถูกขับออกไป
ในขณะที่การเจรจาเพื่อให้ครอบครัว บินลาเดน ยอมจำนน บริษัทของพวกเขาลงเอยด้วยการให้รัฐเข้าไปถือหุ้น 36% พี่น้องทุกคนยกเว้น Bakr ได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมาและได้รับทรัพย์สินบางส่วนคืน
แต่สำหรับชาวตะวันตกผู้ถูกคุมขังที่มีชื่อเสียงที่สุดคงจะหนีไม่พ้น เจ้าชาย อัลวาลีด หนึ่งในหลานชายของกษัตริย์ซัลมาน เขามีอำนาจเงินตรามากมายในต่างประเทศ แม้เขาจะพูดในที่สาธารณะเพื่อสนับสนุนแนวคิดหลาย ๆ อย่างของโมฮัมเหม็ด แต่เขาก็ไม่รอดพ้นจากการถูกจองจำ
สิ่งที่ทำให้ อัลวาลีด ต้องเข้ามาร่วมชะตากรรมใน The Ritz นั้น เนื่องมาจากเขาได้รับเงินมาหลายปีจากสมาชิกราชวงศ์รวมถึงจากกษัตริย์อับดุลลาห์ อัลวาลีดมีหน้าที่จัดการบัญชีสำหรับกษัตริย์ ซึ่งโมฮัมเหม็ดมองว่า อัลวาลีด เก็บเงินของรัฐโดยไม่ชอบธรรม
โมฮัมเหม็ดได้นำตัวอัลวาลีดเข้ามาใน The Ritz และเรียกร้องให้เขาจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อประกันการปล่อยตัว และบีบบังคับเขามากขึ้นด้วยการจับคาเลดพี่ชายของอัลวาลีด ที่ถูกส่งตัวไปที่คุก อัล-ฮาแอร์ สุดโหด
หลังจากได้รับการปล่อยตัว อัลวาลีด ได้ยืนยันกับ Bloomberg News ว่าเขามีส่วนร่วมอย่างผิด ๆ กับคนที่ทำเรื่องเสียหายเหล่านี้จริง ส่วนเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่เขาต้องจ่ายนั้น เขาได้บอกกับนักข่าวว่า มันเป็นข้อตกลงที่เป็นความลับระหว่างเขากับกษัตริย์ซัลมาน
โมฮัมเหม็ดแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ และหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ชาติคนใหม่ทันที ทั้งคู่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเจ้าชายในวัยสามสิบต้น ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการรวมอำนาจของเจ้าชายเสร็จสมบูรณ์แล้ว
หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ชาติคนใหม่ที่ดูแลทหารกว่า 125,000 คน คือ อับดุลลาห์ บิน บันดาร์ ลูกพี่ลูกน้องของโมฮัมเหม็ด และเป็นหนึ่งในเพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุด
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของอาณาจักร ซาอุดิอาระเบีย ไม่มีเจ้าชายองค์เดียวคนใด ที่บัญชาการกองกำลังติดอาวุธของราชอาณาจักรได้มากกว่าหนึ่งในสามแห่ง ตอนนี้โมฮัมเหม็ดได้เข้ามาควบคุมทั้งหมด และเขาได้กำจัดผู้คิดจะขึ้นมาท้าทายหรือกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเหล่ามหาเศรษฐีหรือพี่น้องในสายเลือดก็ตามที
แต่ผู้สังเกตการณ์ชาวตะวันตกมองว่าการจับกุมที่ The Ritz นั้นเป็นศึกในการแย่งชิงอำนาจและใช้หลักนิติธรรมในทางที่ผิด แต่ประชาชนชาวซาอุฯ ต่างสนับสนุนสิ่งที่โมฮัมเหม็ดทำ
เป็นเวลาหลายสิบปีที่ซาอุฯ ต้องต่อสู้กับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์และนักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเครือข่ายราชวงศ์ พวกเขาชนะสัญญาโครงการต่าง ๆ ของรัฐมากมาย โกยเงินไปอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เครือข่ายเหล่านี้ได้ถูกทำลายไปเสียที และทำให้ประชาชน นักธุรกิจทั่วไปที่ทำงานอย่างสุจริต สามารถที่จะโงหัวขึ้นมาได้สำเร็จนั่นเองครับผม
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับโมฮัมเหม็ด หลังจากรวบรวมอำนาจได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในครั้งนี้ โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม
–> อ่านตอนที่ 10 : Who’s More Powerful