Geek Daily EP54 : Grab เติบโตจากบริการรถโดยสารไปสู่ ​​’Super App’ ได้อย่างไร

ปัจจุบัน Grab ถือเป็นสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ามากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยมีมูลค่า Transaction ในปี 2019 ที่ 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และกลายเป็น “Super App” แห่งแรกของภูมิภาคอย่างรวดเร็ว

Business Insider ได้นั่งคุยกับผู้ร่วมก่อตั้งและ COO ของ Grab Tan Hooi Ling เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องราวของ Grab จนถึงตอนนี้และก้าวต่อไปของพวกเขาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://bit.ly/35NJ0Ws

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/C-M1voZidkg

References : https://www.businessinsider.com/
https://globalcoinresearch.com/2020/05/10/super-app-strategy-in-asia/
https://beamstart.com/content/120110/tan-hooi-ling-grab-forbes-2019

BrewDog กับการระดมทุนแบบ Crowdfunding สู่ธุรกิจคราฟท์เบียร์ 2 พันล้านเหรียญ

BrewDog ซึ่ง James Watt และ Martin Dickie ได้เริ่มต้นธุรกิจเบียร์ตามความฝันเล็ก ๆ ของพวกเขาในประเทศสก็อตแลนด์ ในปี 2007 แต่ตอนนี้พวกเขาสร้างมันให้กลายเป็นธุรกิจเบียร์ยักษ์ใหญ่ มีโรงเบียร์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง และกว่า 100 บาร์ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกต่างเป็นลูกค้าของเขา

Watt และ Dickie เติบโตมาในหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสกอตแลนด์ ที่มีชื่อว่า Fraserburgh Watt เรียนกฏหมายที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ ด้วยความขบท เขาทำงานเป็นนักกฏหมายเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น ก่อนที่จะออกไปตามความฝันของตัวเอง

เขาได้ใช้เวลา 6 ปีต่อมาในการจับปลา และ กุ้งมังกร บนเรือประมงทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก และ กลับมาปรุงเบียร์สุดรักเมื่อยามที่เขาขึ้นฝั่ง

ส่วน Dickie นั้น เป็นคอเบียร์มาตั้งแต่ 12 ขวบ เขาพบชุดต้มเบียร์ที่ใต้ห้องหลังคาของพ่อแม่ และเริ่มทำการทดลองกับฮ็อพสดแบบต่าง ๆ ร่วมกับพ่อเขา และได้ไปเจอกับ Watt ที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ โดยเขาได้ไปศึกษาวิธีการกลั่นจากที่นั่น

หลังจบการศึกษาในปี 2004 เขาได้ไปทำงานเป็นผู้ผลิตเบียร์ที่ Thornbridge Brewery ในประเทศอังกฤษ และเมื่อ Watt เดินทางไปเยี่ยม ทั้งสองก็จะสนุกอยู่กับการปรุงเบียร์ IPA สไตล์อเมริกันซึ่งมีแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างสูง

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตทั้งคู่เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาได้ไปพบเจอกับ Michael Jackson นักเขียนเรื่องเบียร์ชื่อดังของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาเบียร์ในปี 1980 หลังจากที่ Jackson ได้มาพบสองหนุ่มเป็นประจำเพื่อชิมเบียร์ที่พวกเขาปรุงขึ้นมา Jackson ก็บอกให้พวกเขาลาออกจากงานประจำ และ มาลุยกับธุรกิจเบียร์แบบ Full Time ได้เสียที

ทั้งคู่ได้รวบรวมเงินออมได้ประมาณ 39,000 เหรียญ และกู้เงินจากธนาคารเพิ่มอีก 26,000 เหรียญ เช่าโรงเก็บศพที่ถูกทิ้งร้าง และชิ้นส่วนการประกอบเบียร์ที่ถูกทิ้งร้างของสภาท้องถิ่นในเมือง

ทั้งคู่ไม่มีแม้แต่ทุนรอนสำหรับถังต้มเบียร์สแตนเลส ที่นักปรุงเบียร์มืออาชีพใช้กัน พวกเขาสามารถใช้ได้เพียงแค่ถังน้ำพลาสติกที่เหลือ ๆ จากท้องถิ่นที่พวกเขาอยู่

แต่พวกเขาก็อดทนต่อไป และในเดือนเมษายนปี 2007 BrewDog ก็ได้ผลิตเบียร์ชุดแรกสำเร็จ แต่โชคไม่เข้าข้างพวกเขานัก เพราะตอนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติการเงินปี 2008 พอดิบพอดี ไม่มีใครอยากจะมาเสียเงินซื้อเบียร์รสขม ที่แทบจะไม่มีคนรู้จัก

ด้วยการเริ่มต้นธุรกิจที่แสนอาภัพ พวกเขาต้องย้ายกลับไปพักอาศัยอยู่พ่อและแม่ เนื่องจากไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าสำหรับที่พัก แต่ทั้งสองก็ยังคงมองเป็นแค่เรื่องสนุก เพราะพวกเขาเพิ่งจะอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น ซึ่ง Watt เองก็ยังไม่ได้ทิ้งอาชีพการทำประมงไปแต่อย่างใด

จุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งก็คือ ในปี 2008 BrewDog ได้ชนะการแข่งขันเบียร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tesco และนี่เองที่ทำให้เบียร์ของ BrewDog จะมีโอกาสได้ไปวางขายในร้านค้ากว่า 400 แห่งของ Tesco ทั่วสหราชอาณาจักร ซึ่งคิดเป็นประมาณ 2,000 ขวดต่อสัปดาห์

ด้วยเงินกู้จากธนาคารที่มากขึ้นหลังจากได้เห็นยอด Order ที่สั่งเข้ามาจาก Tesco รวมถึงรายได้บางส่วนจากการตกปลาของ Watt ในที่สุด BrewDog ก็เริ่มเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง จนถึงปี 2011 ธุรกิจก็มีความมั่นคงพอที่จะทำให้ Watt ลาออกจากงานประมง

และเพียงไม่นาน ความต้องการเบียร์ของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้น และมีปริมาณมากเกินกว่ากำลังการผลิตที่พวกเขาจะรับไหว พวกเขาต้องการเงินทุน เพื่อมาขยายกิจการโดยด่วน

พวกเขาจึงได้สร้างแนวคิดใหม่ด้วยการระดมทุนจากประชาชนทั่วไปที่รัก BrewDog โดยชักชวนให้มาเป็นหุ้นส่วนของพวกเขาซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า Equity for Punks

ในปี 2009 หลังจากผ่านขั้นตอนด้านกฏหมายต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว BrewDog ก็พร้อมที่จะกลายเป็นบริษัทมหาชน โดยผู้ถือหุ้น จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ และจะได้รับสิทธิพิเศษส่วนลดตลอดชีพ 10% ที่บาร์ของ BrewDog และสิทธิ์ในการเป็นสมาชิกคลับเบียร์รายเดือนของ BrewDog

รูปแบบการลงทุน Equity for Punks
รูปแบบการลงทุน Equity for Punks (CR:BrewDog)

ซึ่งในรอบ Equity for Punks ครั้งแรกนั้น BrewDog ระดมทุนได้ 975,000 ดอลลาร์จากนักลงทุนประมาณ 1,330 ราย มาถึงปัจจุบันเข้าสู่รอบที่ 6 ของการระดมทุนแล้ว โดยประสบความสำเร็จสูงสุดเมื่อระดมทุนได้ 34 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุน 70,000 คนในปี 2018

นักลงทุนในยุคแรกอย่าง Daniel Fetter พยาบาลในแนชวิลล์รัฐเทนเนสซี เริ่มลงทุน 10,000 ดอลลาร์ ใน Equity for Punks รอบแรกของปี 2010 มาถึงตอนนี้ผลตอบแทนที่เขาได้รับกว่า 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นอัตราผลตอบแทนสูงถึง 900% ( เทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น S&P500 ที่ให้ผลตอบแทนเพียงแค่ 185%)

ในเดือนเมษายนปี 2017 BrewDog ได้รับการระดมทุนจาก TSG Consumer Partners ซึ่งตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโก 265 ล้านดอลลาร์ โดยเข้ามาถือสัดส่วนหุ้น 22.7%

และมันทำให้สามารถทำให้การเติบโตของ BrewDog ในประเทศสหรัฐอเมริกาพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด เติบโตขึ้น 3 เท่าจากปี 2017 ที่มีกำลังการผลิต 10,000 บาร์เรล และเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าในปี 2019 ทำให้ติดอันดับ top 50 ของผู้ผลิตเบียร์ในสหรัฐได้ในท้ายที่สุด

ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่าตลาดกว่า แสนล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ทั้ง Watt และ Dickie ต่างงัดกลยุทธ์ สุดพิศดารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฉายภาพตัวเองแบบเปลือยกายที่รัฐสภาในลอนดอนมีเพียงกล่องเบียร์ปกปิดของสงวนไว้เท่านั้น

ในปี 2018 เพื่อดึงดูดความสนใจต่อนักลงทุนกับ US Equity for Punks ครั้งที่สองในปีนั้น พวกเขาได้เช่าเฮลิคอปเตอร์เพื่อบินไปยัง Wall Street และได้ทิ้งแมวที่มีร่มชูชีพปล่อยลงมาที่พื้นด้านล่าง เพื่อล้อเลียน นายธนาคารแมวอ้วนแห่ง Wall Street

กลยุทธ์เรียกกระแสฮือฮาด้วยการปล่อยแมวลงมาจากฟากฟ้า
กลยุทธ์เรียกกระแสฮือฮาด้วยการปล่อยแมวลงมาจากฟากฟ้า (CR:americancraftbeer)

รวงถึงพวกเขาได้สร้างโมเดลสุดแหวกแนวในการต้มเบียร์ในสถานที่แปลก ๆ เช่น บนเที่ยวบินสายการบินบริติชแอร์เวย์ที่ความสูง 40,000 ฟุต หรือ ในรถกระบะฟอร์ด ที่วิ่งด้วยความเร็ว 92 ไมล์ต่อชั่วโมงบนสนามแข่งรถ Dover International Speedway และ ในเรือใบที่ท่าเรือบอสตันกับ แซม อดัมส์ หนึ่งในมหาเศรษฐีของอเมริกา

และเพื่อความมั่นคงยิ่งขึ้นในอนาคต พวกเขาก็มองถึงธุรกิจทางเลือกไว้เผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมโอไฮโอเบียร์ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเช่น ตู้เย็นเบียร์ ห้องอาบน้ำที่มีฝักบัวในห้องพัก ซึ่งมีอัตราการเข้าพักสูงถึง 82% (เทียบกับ 68% สำหรับโรงแรมทั่วไปในโคลัมบัส)

หรือแม้กระทั่งการกระโจนเข้าสู่ธุรกิจ Streaming Service ที่พวกเขากำหนดราคาไว้ประมาณ 3 เหรียญต่อเดือน ซึ่งหลังจากถูกลูกค้าบ่นว่าบริการเริ่มช้า พวกเขาได้เปิดให้บริการฟรีในเดือนธันวาคม และมีผู้เข้าใช้งานกว่า 5 ล้านคน

ต้องบอกว่า ทั้ง Watt และ Dickie เด็กหนุ่มสองคนที่เดินทางมาจากตะวันออกเฉียงเหนือของสกอตแลนด์ พวกเขาเริ่มต้นธุรกิจด้วยหัวจิตหัวใจที่แข็งแกร่ง พวกเขายืนหยัดในสิ่งที่เขาเชื่อ และสิ่งที่พวกเขารัก และทำมันด้วยใจจนสร้างสิ่งที่เหลือเชื่อได้สำเร็จ และทำให้ธุรกิจของพวกเขากลายเป็นธุรกิจกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐได้ในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References : https://www.forbes.com/sites/kristinstoller/2020/01/14/the-new-beer-barons-how-two-scottish-kids-turned-wild-flavors-crowdfunding-and-plenty-of-attitude-into-a-2-billion-business/?sh=5375e40229c4
https://www.headspacegroup.co.uk/entrepreneurs-how-brewdog-started-from-nothing
https://en.wikipedia.org/wiki/BrewDog
https://www.theguardian.com/lifeandstyle/2016/mar/24/the-aggressive-outrageous-infuriating-and-ingenious-rise-of-brewdog