Big Data Company ผู้ชนะที่แท้จริงในศึกมหาสงคราม COVID-19

COVID-19 อาจสร้างความหายนะให้กับธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก แต่ก็มีผู้ชนะในเศรษฐกิจกับการระบาดใหญ่ครั้งนี้ นั่นก็คือ บริษัทด้าน Big Data โดยเฉพาะ Palantir บริษัท ที่ได้รับทุนจาก Peter Thiel

Palantir ของ Peter Thiel นั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น“ ซอฟต์แวร์ชั้นนำของโลกสำหรับการตัดสินใจและการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” ได้รับสัญญาต่าง ๆ ของรัฐบาลนับตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 เป็นจำนวนมาก

เริ่มต้นด้วยการติดต่อจากศูนย์ควบคุมโรค (CDC) ในปลายเดือนพฤษภาคม ตามด้วย Coast Guard ในต้นเดือนเมษายน ที่มีมูลค่าสัญญา 8.1 ล้านเหรียญ ส่วนสัญญาสองฉบับล่าสุดที่ลงนามเมื่อวันที่ 11 และ 20 เมษายนกับ Health and Human Services (HHS) นั้นใหญ่ที่สุดโดยมีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ

สัญญาจะถูกแยกระหว่างสองหน่วยงานของ Palantir คือ Gotham และ Foundy และทั้งสองมีเป้าหมายที่จะใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตอบสนองของรัฐบาลต่อ coronavirus โดย Palantir Gotham ชนะสัญญากับ HHS เพื่อจัดหา “แพลตฟอร์ม ” ที่สามารถนำเข้าข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ส่วน Palantir Foundry ได้รับสัญญาจาก CDC เพื่อช่วยในการทำนายรูปแบบการแพร่กระจายของไวรัส และช่วยรัฐบาลให้มั่นใจว่ามีความพร้อมในโรงพยาบาลเพียงพอ 

แม้ว่าก่อนหน้านี้ Palantir จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ ในเรื่องการทำสัญญาเกี่ยวกับการสอดแนมสำหรับเพนตากอนและศูนย์เฝ้าระวังของเอ็นเอสเอ  โดยการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Palantir นั้นมาจากการลงทุนมูลค่ามหาศาลของ In-Q-Te l ซึ่งเป็นหน่วยงานลงทุนด้านธุรกิจของ CIA

Palantir ที่เติบโตรวดเร็วจากการลงทุนจาก CIA
Palantir ที่เติบโตรวดเร็วจากการลงทุนจาก CIA

แม้จะมีการวิจารณ์ความเป็นส่วนตัว Palantir ได้ทำสัญญาธุรกิจนอกเขตแดนสหรัฐโดย Palantir Foundry ได้รับสัญญาจาก National Health Service (NHS) ของสหราชอาณาจักรเพื่อช่วยในการตอบสนองต่อ coronavirus ด้วยเช่นเดียวกัน

แมทธิว กูลด์ โฆษกสาธารณสุขแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ได้ออกมากล่าว เพื่อลดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของประชาชน โดยระบุว่า Palantir Foundry นั้นได้รับการพัฒนาขึ้นส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรทำให้ข้อมูลจะไม่รั่วไหลออกไปข้างนอกได้อย่างแน่นอน

Palantir ไม่ใช่ บริษัท เดียวที่ได้รับประโยชน์จากสัญญาของรัฐบาลท่ามกลางการระบาดใหญ่ หรือ เป็นเพียงบริษัทเดียวที่เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวกับงานที่เกี่ยวข้องกับการระบาดครั้งใหญ่ในครั้งนี้

รวมถึงข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวในประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากรัฐบาลออสเตรเลีย ได้ทำสัญญากับ บริษัท ในเครือของ Amazon, AmazonWebServices เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

Cellbrite บริษัทลูกของอินเทลซึ่งถูกใช้งานมานานโดยหน่วยงานด้านกฎหมายในการติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ต้องสงสัยของรัฐบาลในซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า “contact tracing” ซึ่งถูกนำมาใช้ติดตามคนที่ติดเชื้อ coronavirus รวมถึงผู้ที่ติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วย

ส่วน Apple และ Microsoft ได้พัฒนาแอปติดตามผู้ติดต่อที่จะเข้ามาใกล้และสัมผัสผู้ป่วยที่มีโอกาสติดเชื้อ โดยที่จะมีการสร้าง “ไทม์ไลน์ ” ของการเคลื่อนไหวของบุคคลที่ติดเชื้อและส่งคำเตือนไปยังทุกคนที่เข้ามาใกล้

และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา Microsoft ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่นของตนเองที่มีชื่อว่า CovidSafe

เมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นในการติดตาม COVID-19 เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย ก็ต้องมีการชั่งน้ำหนักกับสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล ที่เป็นปัญหาในทุก ๆ รัฐบาลที่ต้องพบเจอในเรื่องดังกล่าว แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดมาถึงตอนนี้ เรื่องของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในสงคราม COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และตอนนี้ ดูเหมือนว่า บริษัทที่ได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ ก็คือ เหล่าบริษัท ที่มีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Big Data ตัวอย่างเช่น Palantir ของ Peter Thiel นั่นเองครับ

References : https://techcrunch.com/2020/05/20/palantir-covid-19-va-contract/
https://www.palantir.com/covid19/
https://www.forbes.com/sites/thomasbrewster/2020/04/11/palantir-the-peter-thiel-backed-20-billion-big-data-cruncher-scores-17-million-coronavirus-emergency-relief-deal/#5260690f5ed1
https://www.businessinsider.com/palantir-ice-explainer-data-startup-2019-7

Movie Review : Vivarium หมู่บ้านวิวาห์เรียม

ต้องบอกว่าเป็นหนังที่มีเนื้อหาน่าสนใจมาตั้งแต่ตอนปล่อย trailer ออกมาแล้ว สำหรับ Vivarium หมู่บ้านวิวาห์เรียม ที่นำแสดงโดย เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก หนึ่งในนักแสดงดาราชายขวัญใจของตัวผมเอง ซึ่งเรื่องนี้ ก็ไม่อยากจะพลาดผลงานของเขาอีกครั้ง

สำหรับ Vivarium นั้นเป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ เมื่อคุณกำลังมองหาบ้านสักหลังเพื่อเริ่มต้นชีวิต แล้วชีวิตจะเป็นอย่างไรเมื่อติดอยู่ในหมู่บ้านที่มีรูปลักษณ์เหมือนกันทุกประการ!?

โดย Vivarium นั้นถือเป็นภาพยนตร์สุดแหวกแนวที่เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมและนักวิจารณ์ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ นำแสดงโดยสองดารามาแรงขวัญใจคอหนัง เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก และอิโมเจน พูตส์

เรื่องราวที่ว่าด้วย คู่รักหนุ่มสาว ทอม (เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก) และ เจมม่า (อิโมเจน พูตส์) กำลังมองหาบ้านสักหลังเพื่อเริ่มต้นชีวิตคู่ พวกเขาเจอกับ มาร์ติน (โจนาธาน อาริส) นายหน้าแสนประหลาด เขาจึงแนะนำ ยอนเดอร์ หมู่บ้านจัดสรรที่มีบ้านรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทั้งหมด

แล้วทั้งคู่ก็เริ่มเจอเหตุการณ์ประหลาดหลังจากพวกเขาขับรถหลงทางในหมู่บ้าน เพราะลักษณะบ้านมันเหมือนกันทั้งหมด แล้วเหตุการณ์ก็ยิ่งพิศวงและผิดเพี้ยนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพวกเขาเจอทารกปริศนาเพศชายและต้องเลี้ยงดูราวกับเป็นลูก เบื้องหลังขนลุกของหมู่บ้านยอนเดอร์คืออะไร ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองจากหนังเรื่องนี้

ด้วยความที่พล็อตเรื่องที่มีความแหวกแนวสูง ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นหนังที่ดูง่าย และ เหมาะกับทุกคน หนังเต็มไปด้วยการตีความปริศนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเรื่องราวที่สุดแหวกแนวนี้

และเป็นหนังที่ใช้ตัวละครเพียงไม่กี่ตัว ทั้ง อิโมเจน พูทส์ และ เจสซี ไอเซนเบิร์ก ถือว่าทั้งคู่ต้องรับบทหนักในการแบกหนังแทบจะทั้งเรื่องไว้เพียงสองคน และดูเหมือนทั้งคู่ก็สามารถทำได้ดี ดูเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะฝั่งของ อิโมเจน พูทส์ ที่ดูเหมือนจะต้องพยายามสร้างมิติของตัวละครที่เธอรับหนักกว่า ฝั่งของ เจสซี ไอเซนเบิร์ก

ส่วนเรื่องของงานภาพ และ กราฟฟิกต่าง ๆ ของหนังนั้น พยายามสื่ออกมาให้คล้าย ๆ กับรูปแบบของการ์ตูน ใช้สีที่ฉูดฉาด สไตล์ต่าง ๆ ของบ้านที่ดูเหมือน ๆ กันนั้น ทำให้คุณต้องหลอนเมื่อได้รับชมมัน

ส่วนตัวเด็กชายที่ดูน่าขนลุก นั้น ก็มาช่วยสร้างสีสันให้กับหนังเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ต้องบอกว่าเป็นการคัดเลือกตัวนักแสดงที่น่าสนใจอย่างมาก ตั้งแต่ตอนเด็ก รวมถึงตอนโต มันสร้างความกวน หลอนประสาท ให้กับคู่รักทั้งสองได้อย่างหนักมาก ๆ

แม้หนังจะดำเนินเรื่องแบบเนิบ ๆ ช้า ๆ แต่ก็คอยใส่ปริศนาใหม่ ๆ ออกมาตลอดทำให้เราไม่เบื่อเสียทีเดียว เป็นหนังที่เดินเรื่องได้ ค่อนข้างน่าสนใจ และชวนให้เราสงสัยมันไปจนถึงตอนจบเรื่อง ว่ามันเป็นหนังแนวไหนกันแน่

สรุป ผมว่ามันเป็นหนังที่แปลกประหลาด แต่อย่างไรก็ตามมันทำได้อย่างมีที่เสน่ห์ แม้ว่าหนังมันจะดูน่าเบื่อจริง ๆ แต่ก็ทำให้เราโฟกัส กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา  และมันเป็นภาพยนตร์ประเภทที่หากไม่ชอบ คุณจะเกลียดเลย เพราะมันก็ไม่ได้มีคำตอบที่แท้จริงของหนังในตอนท้าย 

แม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ หนังพยายามสื่อถึงเกี่ยวกับชีวิตย่านชานเมือง และความพยายามที่จะเป็นหนังอาร์ทที่ดูยาก แต่สุดท้ายเมื่อดูจบ ผมก็ยังรู้สึกชอบอยู่ดี ใครชอบหนังแนวใหม่ที่ให้ความรู้สึกที่ไม่เคยเจอมาก่อน แนะนำเลยครับ ไปลองพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง