StockX กับการเปลี่ยนงานอดิเรกให้กลายเป็นธุรกิจพันล้านภายใน 3 ปี

เมื่อ Josh Luber หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง StockX เรียนอยู่ในเกรดหก เขาได้เริ่มต้นธุรกิจแรกของเขา: ขายหมากฝรั่งให้กับเพื่อนร่วมชั้นของเขา เป็นธุรกิจแรกที่ต้องทำแบบแอบ ๆ เพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เคี้ยวหมากฝรั่งภายในโรงเรียน

“ มันเป็นธุรกิจที่ยอดเยี่ยม” เขากล่าว “ผมเคยกระโดดรั้วหลังบ้าน เพื่อไปที่ร้านขายของชำของ Acme และซื้อหมากฝรั่งสี่แพ็คในราคา 1 ดอลลาร์ ซึ่งแต่ละแพ็คมีห้าชิ้น และผมสามารถนำมาแบ่งขายได้กำไรอย่างงาม”

เช่นเดียวกับเด็กจำนวนมากในยุค 80 และยุค 90 Luber นั้นยกย่องสุดยอดนักกีฬาในยุคนั้นอย่าง Michael Jordan Luber มีอายุ 6 ขวบ เมื่อทาง Nike เปิดตัวแอร์จอร์แดนครั้งแรก

ในสมัยทำงาน part-time ช่วงเรียนมหาวิทลัย เมื่อเขาได้รับเงินค่าจ้างจากงานในร้านขายเฟอร์นิเจอร์ เขามุ่งตรงไปที่ Foot Locker และ ได้เป็นเจ้าของ Air Jordan 11 Concords: ท็อปส์ผ้าสีขาว พื้นรองเท้า taupe แบบลูกคลื่น ในราคา 125 ดอลลาร์

รองเท้าผ้าใบเป็นมากกว่าแค่เรื่องของแฟชั่น สำหรับ Luber การซื้อรองเท้าของเขานั้น เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อแสวงหาความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากตลาดมูลค่ากว่า หนึ่งแสนสามหมื่นล้านดอลลาร์ ของตลาดรองเท้าผ้าใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่น Limited Edition ที่มีการวางจำหน่ายในปริมาณที่จำกัด

รองเท้าผ้าใบที่เริ่มเป็นมากกว่าแค่แฟชั่น
รองเท้าผ้าใบที่เริ่มเป็นมากกว่าแค่แฟชั่น

เกือบสองทศวรรษต่อมา Luber ที่สำนักงานใหญ่ในเมืองดีทรอยต์ของ StockX ซึ่งเป็นตลาดประมูลรองเท้าผ้าใบ ที่เขาร่วมก่อตั้งในปี 2015 ซึ่งเติบโตจากแนวคิดที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับการสร้าง “ตลาดหุ้นของสิ่งของ” โดยปัจจุบันมีพนักงานเกือบ 1,000 คน และตอนนี้กิจการของเขามีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ต รวมถึงวัฒนธรรมการผลิตรองเท้าผ้าใบที่ได้เติบโตขึ้นจากเครือข่ายท้องถิ่นของมือสมัครเล่นไปสู่ธุรกิจระดับโลกที่เฟื่องฟู ที่มีการขับเคลื่อนโดยนักสะสมที่มองหารองเท้าผ้าใบหายากมาไว้เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนหรือหาหนทางทำเงินอย่างรวดเร็ว

Luber วัย 41 ปีดูเหมือนนักเล่นสเก็ตบอร์ด เขาสวมหมวกเบสบอลพร้อมด้วยเสื้อยืดและหมวก ห้องทำงานของเขาตกแต่งในกลิ่นอายของยุค 90 : พื้นผิวของโต๊ะทำงานของเขาฝังอยู่กับการ์ดเบสบอลของเคนกริฟฟีย์จูเนียร์และแต่งแต้มด้วยกระเบื้อง  มีชั้นวางโลหะเคลือบสีดำสองชั้นแสดงคอลเล็กชั่นรองเท้าผ้าใบ แกลเลอรี่ที่หมุนได้ บรรจุเต็มไปด้วยรองเท้าที่คัดมาจากคอลเล็กชั่น Luber มากกว่า 400 คู่

เขาชี้ไปที่ตาข่ายสีแดงเข้ม Yeezy Red Octobers การออกแบบครั้งสุดท้ายของ Kanye West ที่ผลิตให้กับ Nike ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ Adidas “นั่นอาจจะเป็นรองเท้าที่แพงที่สุดที่นี่ ราคาประมาณ 5,000 ดอลลาร์ แต่ผมแทบไม่ได้สวมมัน” เขากล่าว 

นี่เป็นกฎของ StockX แต่ Luber ไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง CEO อีกต่อไปแล้ว หลังจากดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารระดับสูงมานานกว่าสามปี เขาได้ลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในเดือนมิถุนายน เมื่อ Scott Cutler ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ช่วยนำพา eBay, StubHub เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้เข้ามาแทนที่

ครั้งหนึ่งทุกคนใน บริษัท ต้องรายงานต่อ Luber และมันเป็นวิสัยทัศน์ของเขาส่วนใหญ่ที่ขับเคลื่อนบริษัทไปสู่จุดที่ที่มันเป็นในทุกวันนี้  แม้ว่าในตอนนี้เขากำลังจะพัฒนาสายธุรกิจใหม่ และเขายังคงเป็นหน้าตาของ StockX เขายังคงเดินทางไปทั่วโลกพูดถึงมัน ในทางใดทางหนึ่งมันเป็นงานในฝัน: หลังจากออกจากงานบริหาร และไม่มีระเบียบวาระการประชุมที่เข้มงวด เขาสามารถแอบมองรองเท้าใหม่และการ์ดเบสบอลได้มากขึ้นกว่าเดิม เขาสามารถมาสายได้ 

ตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้ง StockX งานส่วนใหญ่ของ Luber คือการอธิบายว่า StockX คืออะไร  เขาได้ให้คำนิยามของ StockX ว่าเป็นแคตตาล็อกออนไลน์ของรองเท้าผ้าใบ กระเป๋านาฬิกา และเป็นที่ เช่นเดียวกันกับที่ตลาดหุ้น ที่อนุญาตให้ผู้ซื้อและผู้ขายกำหนดราคาของทุกผลิตภัณฑ์ 

บริษัท ใช้กลยุทธ์การประมูลสองครั้งซึ่งช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเสนอราคา – สูงสุดที่พวกเขาเต็มใจที่จะจ่าย และผู้ขายที่จะบอกราคาขั้นต่ำที่พวกเขายินดีที่จะขาย หากการเสนอราคาสูงกว่า ธุรกรรมก็จะถูกดำเนินการ StockX ซึ่งจะได้รับค่าคอมมิชชั่นจาก 9.5 ถึง 14.5 เปอร์เซ็นต์จากการขายแต่ละครั้งและในปี 2019 บริษัท ได้ทำธุรกรรมมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์

ความสอดคล้องเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งแตกต่างจาก eBay ที่ Air Jordans หนึ่งคู่อาจปรากฏพร้อมรูปถ่ายของรองเท้าในกล่องและอีกคู่อาจปรากฏขึ้นพร้อมกับรองเท้าที่วางข้าง ๆ ถาดอาหารแมว

StockX เก็บหน้ารายชื่อ เพียงหนึ่งเดียวสำหรับรองเท้าทุกรุ่นที่ขาย มันคือความแตกต่างระหว่างการมองหาเตียงนอนบน Craigslist และมองหาพวกมันใน Crate & Barrel การรับรองความถูกต้องว่าเป็นของแท้ 100% คือสเน่ห์ที่สำคัญของ StockX

การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ในหลายสิบวิธีรวมถึงการทดสอบกลิ่นเพื่อรับรองความถูกต้อง การปลอมแปลงจำนวนมากในโลกรองเท้าผ้าใบและแท็กของแท้ของ StockX นั้นได้รับการยอมรับอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่าโรงงานที่ผลิตของปลอมในตอนนี้ได้สร้างแท็กปลอมที่ “รับรองโดยแท็ก StockX” เช่นเดียวกัน

StockX มักจะมองเฉพาะกับรองเท้าผ้าใบที่ไม่ได้สวม หรือ ของเหล่านักสะสมเป็นหลัก ซึ่งหมายความว่ารองเท้า Nike ที่ซื้อผ่าน StockX ควรมาในกล่องดั้งเดิมของพวกมันซึ่งมีความคลาสสิกเหมือนที่เคยซื้อมาจาก Foot Locker ยกเว้นว่าความนิยมในรองเท้ารุ่น Limited Edition เพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่ไม่สามารถหาซื้อได้จาก Foot Locker หรือร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม 

สำหรับ StockX นั้น ความขาดแคลนนั้นเป็นความตั้งใจ ดังที่ Luber ได้กล่าวไว้ว่า “พวกเขาเข้าใจว่าถ้าแบรนด์ผลิตเพิ่มขึ้นมาอีกคู่ พวกเขาอาจขายได้ราคาน้อยลง”  สิ่งที่ Luber รับรู้คือเมื่ออุปทานมีราคาต่ำเกินจริงราคาขายปลีกจะไม่มีความแน่นอนเนื่องจากไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานที่แท้จริงนั่นเอง”

ในอีกด้านหนึ่งแนวคิดของ Luber จะจำกัดเฉพาะในหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่เลือกเท่านั้น “สินค้ามูลค่าสูงและไม่ใช่สินค้าที่หาซื้อได้ทั่วไป” ในคำพูดของศาสตราจารย์ Steve Tadelis นักเศรษฐศาสตร์ ที่ University of California, Berkeley  

โดยแนวคิดนี้มันได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2012 เมื่อ Luber เริ่มต้นด้วยแนวคิดที่จะสร้าง StockX หลังจากได้รับปริญญาด้านกฎหมายและธุรกิจที่ Emory University เขาได้เริ่มต้นสร้างบริการที่คล้ายกับ Geek Squad ที่บริการการจัดการพนักงานออนไลน์ แต่ครั้งแรกในการเริ่มต้นธุรกิจของเขาล้มเหลว

หลังจากนั้นก็เขาก็ได้เข้าทำงานกับ IBM ในนิวยอร์ก ซึ่งในขณะที่ทำงานที่ IBM นั้น เขาได้เริ่มทำงานในอีกโครงการหนึ่ง ที่ชื่อว่า Campless ซึ่งเป็นระบบออนไลน์สำหรับรองเท้าผ้าใบที่ทำการติดตามราคาขายต่อบน eBay 

มันเป็นฐานข้อมูลแรกของสินค้าประเภทนี้และในขณะที่เขาสร้างมันขึ้นมา อีเมลและทวีตจากผู้ที่ชื่นชอบข้อมูลได้หลั่งไหลเข้ามาเพื่อให้ความช่วยเหลือ ภายในปี 2015 Luber ได้รวบรวมกองทัพอาสาของผู้ให้ข้อมูลบนเว็บไซต์ เขาจะอยู่จนถึงตีสี่ทำงานในโครงการ Campless และปฏิบัติหน้าที่ที่ IBM ในห้าชั่วโมงต่อมา

เขายังไม่มี idea ว่ามันจะกลายเป็นธุรกิจได้อย่างไรในเวลานั้น เขามองมันเป็นแค่งานอดิเรกเพียงเท่านั้น แต่ Dan Gilbert ผู้ร่วมก่อตั้ง Quicken Loans และเจ้าของ Cleveland Cavaliers ที่อยู่ในเมืองดีทรอยต์สังเกตว่าลูกชายวัยรุ่นของเขาใช้เวลาส่วนใหญ่บน eBay กับการประมูลรองเท้าผ้าใบ 

เขานำเรื่องดังกล่าวมาคุยกับ Greg Schwartz ผู้ก่อตั้งแอพปฏิทินที่ Gilbert ลงทุน “เขาเริ่มพูดถึงกลไกของตลาดหุ้น ทำไมสินค้าพวกนี้ถึงมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิภาพมากกว่าการประมูลแบบปรกติใน eBay หรือสินค้าฝากขายอื่น ๆ ” Schwartz กล่าว 

Luber ได้พูดคุยกับ บริษัท หลายแห่งที่ต้องการใช้ข้อมูลของ Campless ในเดือนมีนาคมปี 2015 Gilbert และ Schwartz ได้เรียก Luber ให้บินมาคุยกับพวกเขาที่คลิฟแลนด์ เพื่อดูเกมแข่งขันบาสเก็ตบอลของ Cleveland Cavaliers

Dan Gilbert มหาเศรษฐีเจ้าของทีม Cleveland Cavaliers สนใจที่จะลงทุน
Dan Gilbert มหาเศรษฐีเจ้าของทีม Cleveland Cavaliers สนใจที่จะลงทุน

ในตอนนั้น ภรรยาของ Luber ตั้งครรภ์ได้ 39 สัปดาห์ แผนการของเขาคือบินไปคลีฟแลนด์ในตอนเช้าไปที่เกมบ่ายสามโมง และบินกลับไปที่ฟิลาเดลเฟียซึ่งเขาและภรรยาอาศัยอยู่ในคืนนั้น 

เขาได้นำกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของเขาสำหรับ Campless ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับที่เขาได้นำไปสู่การประชุมกับนักลงทุนครั้งก่อน ๆ  โดยในเนื้อหาได้อธิบายว่า Campless คือคู่มือราคารองเท้า ที่สามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้สร้างพอร์ตการลงทุนรองเท้า คล้าย ๆ กับ พอร์ตการลงทุนในหุ้น

และในกระดาษแผ่นดังกล่าวได้แสดงถึงความเป็นไปได้ของการสร้างตลาดหุ้นสำหรับรองเท้าผ้าใบ เขาแสดงมันให้ Schwartz และ Gilbert หลังเกม พวกเขาจ้องกลับมาที่เขาด้วยความตกตะลึง “เราต้องพาคุณไปที่ดีทรอยต์” Schwartz กล่าว

Luber ส่งข้อความถึงเจ้านายของเขาที่ IBM “ผมจะไม่ไปทำงานในวันพรุ่งนี้ ผมขอโทษ” เขาสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกันเป็นเวลาสามวัน เขากลับถึงบ้านเวลา 1:00 น. ในคืนวันอังคารภรรยาของเขารอเขาอยู่ “ที่รัก ผมคิดว่าเราควรจะย้ายไปที่ดีทรอยต์โดยด่วน” เขากล่าว

Gilbert และ Schwartz ได้ทำการเข้าซื้อ Campless ภายในสองเดือน และ StockX ได้ถูกเปิดตัวในเดือน กุมภาพันธ์ 2016 โดยมีชายทั้งสามคนเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง

เมื่อคุณเริ่มต้นบริษัท และคุณมีผู้ร่วมก่อตั้งเป็นมหาเศรษฐีมันทำให้สิ่งต่าง ๆ มันเปลี่ยนไปเยอะมาก” Luber กล่าว “เราสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจจริง” Luber และ Schwartz รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรบางอย่าง ในเดือนกันยายนเมื่อ Nike ได้ทำการเปิดตัว Air Jordan 1 ซึ่งเป็นคู่ที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก และมันส่งผลให้ปริมาณสินค้าที่ขายผ่าน StockX เพิ่มขึ้นจาก 50 คู่ ต่อวันเป็น 300 คู่

กลุ่มผู้ก่อตั้งตัดสินใจที่จะมองการลงทุนภายนอกในปี 2017 หนึ่งในคนที่พวกเขาเข้าหา คือ Scott Cutler ซึ่งตอนนั้นเป็นซีอีโอของ StubHub และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการของ StockX 

Scott Cutler ที่ปรึกษาของ Luber ก่อนที่จะกลายมาเป็น CEO ในภายหลัง
Scott Cutler ที่ปรึกษาของ Luber ก่อนที่จะกลายมาเป็น CEO ในภายหลัง

ย้อนกลับไปในปี 2016 วันที่ StockX ออกแถลงข่าวครั้งแรก Cutler ได้ส่งข้อความ LinkedIn ไปยัง Luber เพื่อบอกรายละเอียดประสบการณ์ผู้บริหารของเขาที่ StubHub, eBay และ NYSE “ผมคิดว่านี่เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่จริงๆและผมอยากที่จะช่วย” เขาเขียน

Luber เห็นข้อความและเดินตรงไปที่ Schwartz เขาเป็นห่วงเพราะ StubHub เป็นเจ้าของโดย eBay และพวกเขามองว่า eBay เป็นคู่แข่งหลักของพวกเขา “เขาเป็นสายลับเหรอ?” Luber ถาม 

แต่ Schwartz ให้เหตุผลว่าการสนทนากับผู้เชี่ยวชาญไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ดังนั้น Luber จึงเริ่มสนทนาทาง Video Conferences กับ Cutler และดูเหมือนทั่งคู่จะเข้ากันได้ดีพอที่จะนัดพบกันในสัปดาห์ต่อไปที่โตรอนโต “มันไม่เป็นทางการเราแค่ทำความรู้จักกัน” Luber กล่าว “ผมได้พบกับภรรยาของเขา พร้อมกับลูกคนหนึ่งของเขา”

จากนั้นทั้งคู่ก็ได้เริ่มคุยโทรศัพท์ทุก ๆ เดือน “ทุกบทสนทนา เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง” Cutler กล่าวถึงรายละเอียด “วิธีทำงานของอนุพันธ์, กลุ่มของสภาพคล่อง, สภาพแวดล้อมของธุรกิจ” Luber จะจัดการความคิดโดยมี Cutler คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

เมื่อเข้าสู่เดือน มีนาคม ปี 2019 Cutler พบว่าตัวเองกำลังต้องการความท้าทายใหม่ ๆ  สถานการณ์ในตอนนั้น StockX กำลังสร้างธุรกรรมของรองเท้าหลายพันคู่ต่อวัน การพูดคุยของเขากับ StockX เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันเขาปฏิเสธบทบาทซีอีโอที่ บริษัท มหาชนอีกแห่งที่ยื่นข้อเสนอมา เขากล่าวว่าเขาต้องการเริ่มต้นใหม่

StockX ประกาศการประเมินมูลค่าของบริษัทที่พุ่งขึ้นไปที่หนึ่งพันล้านดอลลาร์ (จากการลงทุน Series C 110 ล้านดอลลาร์) และได้ประกาศแต่งตั้ง Cutler ให้มาดำรงตำแหน่งซีอีโอในเวลาเดียวกัน 

มันเป็นช่วงเวลาที่ StockX นั้นโตขึ้นเกินกว่าขีดความสามารถของ Luber ในฐานะผู้นำองค์กรแล้ว องค์กรเริ่มใหญ่ขึ้น และมีความซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ต้องการมืออาชีพมาบริหาร และ Cutler คือคำตอบสุดท้ายของ StockX 

โดย Cutler และ Luber ได้วางแผนที่จะไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ด้วยการแบ่งงานง่าย ๆ Luber จะจัดการกับพันธมิตร การทำ IPO และหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ และการพูดในที่สาธารณะ Cutler จะทำหน้าที่ CEO ตัวจริง คอยจัดการเรื่องทุกอย่างอื่น ๆ

นั่นทำให้ Luber นั้นสามารถที่จะใช้เวลามากขึ้น ในตอนนี้ที่เขาไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับรายละเอียดการปฏิบัติงานหลายอย่างที่ Cutler ดูแล: ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขยายตลาดของ StockX ไปในยุโรปและเอเชีย จ้างผู้บริหารระดับ C-Level การจัดการด้านโลจิสติกส์ การขนส่งที่ซับซ้อนให้กับลูกค้าในกว่า 200 ประเทศ  

มันทำให้ Luber สามารถใช้เวลากับสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เขาตื่นเต้นอย่างแท้จริง เช่น การ์ดเบสบอล ซึ่งในภายหลัง StockX ได้เปิดตัว การซื้อขายการ์ดเป็นหมวดหมู่ใหม่ 

ต้องบอกว่า StockX นั้นเดินมาไกลมาก ๆ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปี ก็สามารถก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัท Unicorn ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ มันคือผลสำเร็จของความหลงใหลในสิ่งที่ Luber หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งรัก ซึ่งนั่นก็คือ การสะสมรองเท้าผ้าใบ ซึ่งใครจะคิดว่า งานอดิเรกเล็ก ๆ ในอดีตของเขา และความทุ่มเทแบบสุดตัวของเขา ที่จะทำตามความฝันนั้น จะนำพา StockX มาได้ไกลถึงเพียงนี้ได้นั่นเองครับ

References : https://www.vox.com/2019/4/19/18486120/stockx-billion-valuation-funding-dst-ggv-sneakerhead
https://en.wikipedia.org/wiki/StockX
https://www.inc.com/magazine/202002/sheila-marikar/stockx-josh-luber-sneaker-resale-marketplace-scott-cutler-detroit-founder-ceo.html
https://www.cnbc.com/2019/06/26/stockx-a-stock-exchange-for-sneakers-is-now-worth-1-billion.html

The Science Behind Social Networking กับเบื้องหลังชัยชนะครั้งสำคัญของ facebook ที่มีต่อ myspace

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ตลอดเวลา  บริษัทที่สร้างเครือข่ายทางสังคมในออนไลน์ได้สร้างแพล็ตฟอร์มเหล่านี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นวิธีการทำงาน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความต้องการ ความคิดและนวัตกรรม แนวคิดของเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่นอกเหนือจากชีวิตแบบปรกติของมนุษย์เราที่มีมาอย่างยาวนาน

เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่เราได้เห็นว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น มีความเชื่อมโยงกับผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทางวัฒนธรรมในมนุษย์ ซึ่งนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ การทำความเข้าใจวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังเครือข่ายสังคมเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว เราก็จะต้องเข้าใจว่าทำไม Facebook ซึ่งกลายมาเป็นผู้นำของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่ถูกปลุกปั้นขึ้นมาจากหอพักที่มหาวิทยาลัย Harvard และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลก และยังช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงให้กับเราทุกคนได้อย่างไร

Facebook และเว๊บไซต์ Social Media อื่น ๆ จะช่วยเชื่อมต่อคุณกับเพื่อนของคุณ ซึ่ง Facebook ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 2005 โดย Mark Zuckerberg เริ่มแรก Zuckerberg และเพื่อนของเขา ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “Facemash”

โดยเป็นการ hack ข้อมูลเพื่อดูดรูปภาพของทุกคนที่อาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย Harvard เข้ามา และได้ทำการสร้าง เว๊บไซต์ เปรียบเทียบหน้าของผู้หญิง แล้วให้โหวต ว่าใคร hot สุด โดยจะทำการสุ่ม หน้าของสาว ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วทำการคำนวนผ่าน algorithm ที่เค้าคิดขึ้น

ด้วยการขยายแนวคิดนี้ Zuckerberg ได้สร้างเว็บไซต์เพื่อทำหน้าที่เสมือน หนังสือรุ่น หรือ “thefacebook” ของมหาวิทยาลัยขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรก

แต่ในเว๊บไซต์ของ Facebook นั้นการเชื่อมโยงกันระหว่างเพื่อนนั้นทำง่าย ๆ เพียงแค่ขอเป็นเพื่อนกับใครบางคน ผู้รับต้องยอมรับคำเชิญนั้น แนวคิดนี้ใหม่มากเพราะมีเพียงไม่กี่ เว๊บไซต์ ในยุคนั้น ที่ช่วยในการสื่อสารประเภทนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ MySpace 

Adam Hartung ผู้ที่ให้ข้อมูลกับ Forbs กล่าวว่า “ MySpace ถูกกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ใช้งานที่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน และยังมีการทำการตลาดมาก่อน Facebook ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้น MySapce ได้สร้างความสนใจอย่างมหาศาล และสามารถสร้างมูลค่ามหาศาลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเริ่มมีนักลงทุนสนใจเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ เครือข่ายสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง News Corp

MySpace ที่เกิดก่อน และทุนหนากว่า แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับน้องใหม่อย่าง Facebook
MySpace ที่เกิดก่อน และทุนหนากว่า แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับน้องใหม่อย่าง Facebook

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่เป็นต่อทุกอย่าง เว๊บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อน และมีทุนที่หนากว่าหลายเท่านัก ซึ่งการเข้ามาครอบครอง MySpace ของ News Corp นั้นได้พยายามปรับปรุง MySpace เพื่อเพิ่มกลุ่มผู้ใช้งานใน “ระดับมืออาชีพ” มากขึ้น เพื่อให้เป็นอนาคตของธุรกิจ ซึ่งนั่น เป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงเมื่อต้องมาแข่งขันกับ Facebook ที่ปล่อยให้ตลาดเป็นตัวตัดสินใจว่าธุรกิจควรจะไปในทิศทางใด

และอีกเหตุผลสำคัญที่ Facebook สามารถเอาชนะ MySpace ได้ ก็เป็นเพราะแนวคิดของ Facebook ที่อนุญาตให้ผู้คนในเว็บไซต์สามารถที่จะเชื่อมต่อความสัมพันธ์กันได้แบบอิสระ และตระหนักว่าเหล่าผู้ใช้งานอาจต้องการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาในเว็บไซต์ และสามารถเชื่อมต่อกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ของพวกเขาได้

โลกของ ​Facebook จึงพยายามรักษาความสัมพันธ์และทำงานภายใต้ทฤษฏีของ Triadic Closures ซึ่งเป็นทฤษฏีที่ถูกตั้งขึ้นมาในยุคของ Social Network โดยความหมายก็คือ การที่คนสองคนจะมีความรู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น ถ้าหากว่าพวกเขามีเพื่อนคนเดียวกัน ซึ่งมีการทดลองจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียพบว่าผู้คนที่ใช้งาน Facebook มีโอกาสที่จะรับใครสักคนเป็นเพื่อนมากขึ้นถึง 80% ถ้าหากมีเพื่อนคนเดียวกันประมาณ 11 คน ทำให้อัตราการเติบโตของเว๊บไซต์ของ Facebook นั้นเร็วกว่า MySpace เป็นอย่างมาก

ซึ่งทฤษฏีนี้อาจกล่าวได้ว่า หากเรายิ่งมีเพื่อนร่วมกันมากก็ยิ่งพร้อมเปิดใจ ซึ่งถ้าหากคุณอยากชนะใจใครสักคน ให้ลองตีสนิทกับเพื่อนเขาดูก่อน แล้วให้เพื่อนช่วยเป็นคนกลางคอยแนะนำให้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม MySpace ใช้แนวคิดตรงกันข้าม โดยไม่ปล่อยให้ผู้คนที่เกี่ยวข้องในระบบของพวกเขานั้นเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้ เพราะ ​myspace มองว่าเราแทบจะไม่เคยรู้จักกันจริง ๆ คนที่มีเพียงความสนใจร่วมกัน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ โดยตรงกับเรา มีโอกาสน้อยที่จะปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้ ซึ่งส่วนนี้นี่เองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ myspace นั้นเติบโตช้ากว่า facebook

Zuckerberg รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่มีพลังอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงมีการอัพเดท Features ตลอดเวลา โดย Focus ส่วนที่ใช้ในการเชื่อมโยงผู้คน แม้แต่การแพร่กระจายของ Facebook จากฮาร์วาร์ดไปทั่วโลกก็เป็นเพราะการแพร่กระจายแบบปากต่อปาก ซึ่งเป็นประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ facebook ที่แทบจะไม่ต้องใช้เงินทำการตลาดใด ๆ เลยด้วยซ้ำ

ด้วยแนวคิดของ Facebook ทำให้สามารถเอาชนะ MySpace ไปได้ในท้ายที่สุด
ด้วยแนวคิดของ Facebook ทำให้สามารถเอาชนะ MySpace ไปได้ในท้ายที่สุด

Facebook ทำงานบนแนวคิดที่ว่าเมื่อคุณแนะนำตัวเองและโต้ตอบกับเพื่อน คุณจะสามารถ ‘คัดกรอง’ บุคคลนั้นได้หลังจาก ทำการค้นหาความสนใจและแนวความคิดของบุคคลนั้น ๆ ในโปรไฟล์ของบุคคลนั้น ซึ่งหากข้อมูลที่นำเสนอในโปรไฟล์แสดงความไม่ลงรอยกันกับบุคคลที่อ่านข้อมูล ผู้อ่านก็จะไม่สนใจและไม่ติดต่อกับบุคคลนั้น ๆ ในที่สุดนั่นเอง

และดูเหมือนบทเรียนในครั้งนี้ของ MySapce นั้น แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจธรรมชาติของเครือข่ายสังคมออนไลน์ของ Mark Zuckerberg ที่ทำให้เขาสามารถเลือกใช้วิธีบริหารจัดการบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ของเขาได้ก่อนนั่นเอง

และเนื่องจากการที่ Facebook นั้น ไม่มีกฎ ไม่มีแผนใด ๆ ไม่มีตลาด ไม่มีการพยากรณ์ล่วงหน้า ไม่พยายามฉลาดกว่าผู้ใช้เพื่อพิจารณาว่าพวกเขาไม่ควรทำอะไร ไม่มีอคติ ทางความคิดให้ซึ่งทำให้กลายเป็นข้อจำกัดได้ และมุ่งเน้นธุรกิจไปข้างหน้าได้ มันก็ทำให้เราได้เห็นภาพของ Facebook ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลกอย่างในทุกวันนี้ได้นั่นเองครับผม

References : https://blogs.cornell.edu/info2040/2017/09/15/the-science-behind-social-networking-and-why-myspace-lost-to-facebook/
https://www.forbes.com/sites/adamhartung/2011/01/14/why-facebook-beat-myspace/#645304b0147e
http://dujs.dartmouth.edu/2011/02/the-science-behind-social-networking/#.WbvxW2VeBo4

Geek Monday EP48 : Ecommerce Disruption เมื่อ Facebook Shop กำลังจะเข้ามาท้าทาย Amazon

ก่อนหน้านี้ facebook ได้ทำลายธุรกิจ สื่อหนังสือพิมพ์ หรือ นิตยสาร ที่ต่างปิดตัวกันถ้วนหน้าหากไม่มีการปรับตัวเข้าสู่ยุค digital รวมถึงการเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่มาก ๆ คือตลาด live TV และ VDO

ซึ่งการเข้าสู่ Ecommerce เต็มตัวในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวใหญ่ที่สำคัญก้าวหนึ่งเลยก็ว่าได้ และกำลังเข้าไปกินเค้กเม็ดเงินที่ใหญ่มาก ๆ ในตลาด Ecommerce รวมถึงในด้านการเงิน Libra Coin ที่ facebook ที่กำลังจะเปิดตัวนั้น แสดงให้เห็นว่า Facebook พร้อมที่จะรุกไปในทุกธุรกิจ ผ่านข้อมูลที่เขามีอยู่อย่างมากมาย

การขับเคลื่อนธุรกิจของ facebook ในด้านต่าง ๆ  ถือว่าสำคัญต่ออนาคตของ facebook เป็นอย่างมาก และเราอาจจะได้เห็น facebook ล้มยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ได้ในเร็ว ๆ วันนี้ก็อาจเป็นไปได้ครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : https://bit.ly/2LWMEDe

ฟังผ่าน Apple Podcast : https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast : https://bit.ly/2Zz0Zhc

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/3bWFhpF

ฟังผ่าน Youtube https://youtu.be/_qQOCe9jlHk

Zhang Ying ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Jack Ma

คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะพูดได้ว่า บุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จหลาย ๆ อย่างของ Jack Ma นั่นก็คือ Zhang Ying ภรรยาผู้รู้ใจของเขา

Zhang Ying นั้น เป็นหญิงหน้าตาสะสวย เป็นผู้หญิงที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งสวย ทั้งเก่ง และเรียบร้อย Ma และ Zhang Ying นั้นพบกันตั้งแต่สมัยเรียนในมหาวิทยาลัย และแทบจะเป็นคนเดียวที่สยบ Ma อยู่ ด้วยการใช้ไม้อ่อนสยบแข็ง ที่เธอใช้มานานตั้งแต่สมัยรักกันตอนเรียน จนกลายมาเป็นเศรษฐีหมื่นล้านในตอนนี้ เป็นความรักที่เข้าใจกัน และเห็นอกเห็นใจกันอย่างลึกซึ้ง

Zhang ได้พบกับ Jack ที่สถาบันครูหางโจวซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนามมหาวิทยาลัยหางโจวเมื่อทั้งสองเป็นนักเรียน ทั้งคู่แต่งงานกันไม่นานหลังจากสำเร็จการศึกษาในช่วงปลายยุค 80 และทั้งคู่ก็เริ่มทำงานเป็นอาจารย์ “ Jack Ma ไม่ใช่คนหล่อ แต่ฉันก็ตกหลุมรักเขาเพราะเขาสามารถทำสิ่งต่างๆมากมายที่ชายหล่อไม่สามารถทำได้” Zhang กล่าว 

แม้ตัว Jack Ma จะถูกเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งใน 10 ครูหนุ่มยอดเยี่ยมในหางโจว แต่เขาก็ได้ตัดสินใจลาออกจากงานและเปิด บริษัท แปลของเขาเอง ในปี 1995

โดย Ma เริ่ม China Yellowpages ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งใน บริษัท อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของจีนก่อนที่จะจัดตั้ง Alibaba, เว็บไซต์การค้าแบบธุรกิจกับธุรกิจแห่งแรกของจีนในปี 1999 พร้อมด้วยพันธมิตรอีก 16 ราย

Zhang ออกจากงานเพื่อสนับสนุนสามีของเธอและเข้าร่วมกับอาลีบาบาในฐานะ “ผู้แทนทางการเมือง” ของ บริษัท อย่างไรก็ตาม Zhang กล่าวว่าเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำอาหารในวันแรก ๆ ของการก่อตั้งบริษัท สำหรับผู้เข้าร่วมการประชุม ที่มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันกับสามีของเธอตลอดทั้งวัน

Zhang Ying ที่อยู่กับ Jack Ma มาตั้งแต่ยังก่อตั้งบริษัทใหม่ ๆ
Zhang Ying ที่อยู่กับ Jack Ma มาตั้งแต่ยังก่อตั้งบริษัทใหม่ ๆ

แต่ Zhang นั้นรู้ดีว่า Jack Ma ตัดสินใจอะไรไปแล้วไม่เคยเปลี่ยนแปลง และคอยสนับสนุน Ma เรื่อยมา ไม่ว่าเส้นทางจะเต็มไปด้วยขวากหนามมากเพียงใด Zhang นั้นก็พร้อมที่จะสู้อยู่กับ Ma เสมอมา และที่สำคัญ ในยุคแรก ๆ ที่ Ma สร้างธุรกิจนั้น Zhang ไม่เพียงเป็นช้างเท้าหลังที่ประเสริฐเท่านั้น แต่ยังเป็นเสาหลักของธุรกิจอีกด้วย ออร์เดอร์ รายใหญ่รายแรกจำนวน 8,000 หยวน ก็ได้มาด้วยฝีมือการเจรจาของ Zhang Ying นี่แหละ

อีกสองสามปีต่อมา Zhang ถามสามีว่า บริษัท ทำเงินได้มากน้อยแค่ไหนและ Ma ก็ยกนิ้วเดียว “สิบล้านหยวน (1.6 ล้านเหรียญสหรัฐ)” Zhang ถาม และ Ma ตอบว่าไม่ “ หนึ่งร้อยล้านหยวน ( 16 ล้านเหรียญสหรัฐ)” เธอถามแล้ว Ma ก็บอกว่าไม่อีก “หนึ่งล้านหยวน (160,000 ดอลลาร์สหรัฐ)” คำตอบคือ “ใช่” แม้จะดูเหมือนทำให้ภรรยาของเขาผิดหวัง แต่ Ma พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “สักวันหนึ่งจะเป็นวันของเรา”

เช่นเดียวกับพ่อแม่คนอื่น ๆ Jack Ma และภรรยาก็มีปัญหาในการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการดูแลลูก ในการสัมภาษณ์รายการทีวีครั้งหนึ่ง Zhang Ying ได้แบ่งปันเกี่ยวกับเรื่องราวสามีของเธอและวิธีการเลี้ยงลูก “ลูกชายของเรานั้นถือเป็นผลกระทบของก่อตั้ง อาลีบาบา”

ลูกชายของทั้งคู่ เกิดในปี 1992 เขาเติบโตขึ้นมาในธุรกิจของครอบครัว ในช่วงนั้นบ้านของพวกเขาเป็นสำนักงาน ที่เต็มไปด้วยคนมากกว่า 30 คน และเต็มไปด้วยควันบุหรี่ รวมถึงของกินต่าง ๆ มากมาย

ลูกชายของฉันสามารถอยู่ในห้องและไม่ออกไปข้างนอกได้ เขากินตามพวกเราดังนั้นเขาจึงผอมมากเหมือนไม้ขีดไฟ หัวของเขาก็ใหญ่ หลังจากนั้นงานก็ยุ่งมากลูกชายก็อายุ 4 ขวบ เราพาเขาไปที่ office ของ Alibaba ห้าวันต่อสัปดาห์

เมื่อธุรกิจมั่นคงลูกชายของฉันก็อายุ 10 ขวบเขาเริ่มให้ความสนใจในอินเทอร์เน็ตอาจเป็นเพราะอิทธิพลของพ่อของเขา เขาติดเกมออนไลน์เมื่อเขาเริ่มเล่นกับเพื่อน ๆ และปฏิเสธที่จะกลับบ้าน 

ปฏิกิริยาของลูกชายทำให้แจ็คกังวลอย่างยิ่งเขาบอกฉันว่า “คุณควรลาออกจากงานครอบครัวของเราต้องการคุณมากกว่าอาลีบาบา” แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการ แต่เป็นเพราะครอบครัวของเธอจึงตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกชายของเธอแบบเต็มตัว

หลังจากที่ Zhang Ying ลาออกจากงานที่อาลีบาบา เธอก็เริ่มสอนลูกชายอย่างเป็นทางการและเพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น อยู่มาวันหนึ่ง Jack Ma ให้ลูกชาย 200 หยวน เพื่อให้เขาสามารถไปเล่นเกมกับเพื่อนได้สามวันสามคืน โดยเรียกร้องให้ลูกชายของเขาตอบคำถามให้ได้ว่า “ประโยชน์ของการเล่นเกมคืออะไร?”

สามวันต่อมาเจอรี่กลับบ้านด้วยอาการอ่อนเพลียและตอบพ่อของเขาว่า “เหนื่อยล้า ง่วง หิวอึดอัด เงินก็หมดแล้วแต่ก็ยังหาประโยชน์จากการเล่นเกมไม่ได้” Jack Ma ได้ตอบคำถามด้วยชุดคำถามที่ทำให้เด็กชายเงียบสนิท: “แล้วลูกต้องการเล่นเกมอีกต่อไปหรือไม่”  หรืออยากกลับบ้าน? ”

ความเข้มงวดของ Jack Ma และความสนใจในการดูแลของ Zhang Ying ช่วยให้เจอร์รี่ตัวน้อยเริ่มละความสนใจจากการเล่นเกมออนไลน์ ซึ่งหลังจากผ่านไปหกเดือนเด็กชายคนนั้นก็ได้กลายเป็นคนใหม่ ที่ไม่สนใจเรื่องเกมอีกต่อไป

ในวันเกิดปีที่ 18 ของลูกชาย Jack Ma ได้เขียนจดหมายถึงลูกชายถึงสามสิ่งดังต่อไปนี้ :

สิ่งแรกคือการคิดถึงตนเองและการตัดสินใจอย่างอิสระ

ประการที่สองคือการรักษาจิตวิญญาณของการมองโลกในแง่ดี มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในโลก แต่จะมีทางออกมากอยู่เสมอ

ประการที่สามจงซื่อสัตย์โดยเฉพาะกับพ่อและแม่ของคุณ

เรื่องราวการศึกษาของลูกชาย Jack Ma ถือเป็นประสบการณ์ที่ให้แนวคิดที่ดีมาก ๆ สำหรับผู้ปกครองในสังคมยุคปัจจุบัน ยุคที่เทคโนโลยีสามารถ กลืนกิน ลูกของทุกคนได้ 

ในขณะเดียวกัน การสร้างแรงบันดาลใจของเขาเกี่ยวกับการเรียนรู้ยังเป็นบทเรียนที่มีประโยชน์สำหรับคนหนุ่มสาวที่กำลังเริ่มต้นในการทำธุรกิจ: “พยายามติดตามการเรียนรู้ แต่ไม่ต้องรอบรู้ไปหมดทุกสิ่ง พยายามฝึกทักษะใหม่และไล่ตามความหลงใหลเมื่อคุณมีเวลาว่าง แล้วคุณจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน”

ต้องบอกว่าถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างครอบครัว ที่แสดงให้เราได้เห็นว่า บทบาทของภรรยาของผู้ก่อตั้งนั้นถือว่าสำคัญไม่แพ้สิ่งที่ Jack Ma ทำเลย เพราะเธอต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างจากงานที่เธออยากจะทำ เพื่อมาดูแลลูก และรักษาสมดุลชีวิตครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น ถือเป็นตัวอย่างที่น่ายกย่องของ Zhang Ying ที่ต้องบอกว่าเธอเป็นเบื้องหลัง และ backup คนสำคัญในการผลักดับ Jack Ma ให้ก้าวมาถึงจุดนี้นั่นเองครับผม

–> อ่าน Blog Series ประวัติ Jack Ma

References : https://bambooinnovator.com/2013/10/01/zhang-ying-the-wife-of-alibaba-founder-jack-ma-ma-yun-is-not-a-handsome-man-but-i-fell-for-him-because-he-can-do-a-lot-of-things-handsome-men-cannot-do/
https://glamourpath.com/cathy-zhang
https://ourvoiceourschools.org/how-did-jack-ma-get-away-addict-his-boy-to-game/
https://vulcanpost.com/255811/jack-ma-life-20-60-years-old/

Synapse กับการปฏิเสธเงินล้านครั้งแรก สู่การบริจาคหุ้น 99% ของ Mark Zuckerberg

ภาพจำของ Mark Zuckerberg ที่คนส่วนใหญ่ได้เห็นนั้นอาจจะมาจากภาพยนตร์เรื่อง “The Social Network” แต่หลายคนก็ไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของ Mark Zuckerberg มากมายนัก

ต้องถือว่าเป็น icons ที่สำคัญของ วงการ startup ทั่วโลกเลยก็ว่าได้สำหรับ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง facebook ที่มีผู้ใช้งานอยู่มากมายทั่วโลกในขณะนี้

สำหรับ ประวัติ mark zuckerberg นั้น ถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของการก่อกำเนิดของ facebook นั้น ต้องย้อนกลับไปที่ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดในปี 2003

mark zuckerberg ถือเป็น อัจฉริยะ คนหนึ่งในด้านคอมพิวเตอร์ ที่หลายคนรู้จักดีในฮาร์วาร์ด เขามีประวัติด้านคอมพิวเตอร์ที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่ตอนเรียน high school โดยเขากับเพื่อน ได้เคยร่วมกันสร้างสร้าง plugin ของ media player เพื่อหา playlist ตามรสนิยมของผู้ใช้ ในชื่อ Synapse 

Mark สร้าง Synapse ในช่วงต้นปี 2000 ซึ่งตรวจจับรสนิยมของเพลงโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นผลงานแรก ๆ ที่มันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มุ่งสู่การเป็นเศรษฐี ของอีกหลายล้านคนในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์

บริษัท ใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft และ AOL ต้องการซื้อแอปนี้ ซึ่งมีข่าวว่าทาง Microsoft นั้นเคยยื่นข้อเสนอถึง 1 ล้านดอลลาร์ แต่ Mark ได้ปฏิเสธทั้ง Microsoft หรือ AOLและอัปโหลดแอปตัวนี้แจกฟรี ๆ

Synapse โปรเจคที่ Mark ปฏิเสธการขอซื้อจากยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft
Synapse โปรเจคที่ Mark ปฏิเสธการขอซื้อจากยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft

ซึ่งแอปพลิเคชัน Synapse นั้นถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากและสื่อต่าง ๆ ให้ความสนใจมากมาย ทั้ง slashdot.org รวมไปถึงการได้รับการจัดอันดับ 3/5 โดยนิตยสารชื่อดังอย่าง PC Magazine ซึ่งด้านล่างนี้คือบางส่วนของความคิดเห็นจากผู้ใช้ใน cnet.com

“ ฉันใช้เครื่องเล่นสื่อไซแนปส์ที่บ้านและทำงานในช่วงเดือนที่ผ่านมาเพราะเห็นมันถูกพูดถึงใน slashdot.org มันค่อนข้างบั๊ก เช่น เสียงมักจะบกพร่องในตอนต้นของเพลง และฉันได้รับข้อผิดพลาดเหล่านี้ของโปรแกรม ซึ่งเมื่อฉันไปดู Log จากเว็บอินเตอร์เฟส อย่างไรก็คุณสมบัติของ Synapse นั้นน่าทึ่งทีเดียว ต้องใช้เวลาสักครู่ในการเรียนรู้และเห็นได้ชัดว่ามันอยู่ในสถานะของการเรียนรู้ / การเรียนรู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากใช้ไปสักพักมันก็กลายเป็นแอปที่น่าประทับใจทีเดียว  แค่ฝึกมันให้เรียนรู้และคุณจะชอบมัน!”

ข้อความที่ตัดตอนมาจากบทวิจารณ์: “นี่เป็นโปรแกรมเล่น Media ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นในปัจจุบันที่มีฟังก์ชั่นเดียวที่ฉันพบว่ามันขาดคือเครื่องมือแก้ไขแท็กขั้นสูงและความสามารถในการจัดกลุ่มตามอัลบั้ม”

ซึ่งจะเห็นได้ว่า Mark นั้นสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น ในขณะที่เข้าเรียนอยู่เพียงแค่ High School เพียงเท่านั้น และที่สำคัญ มันเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า เรื่องเงินนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการแต่อย่างใด เขาต้องการสร้างสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกเราให้ดีขึ้น จนได้มาสร้าง Facebook ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จอย่างสูงในภายหลังนั่นเอง

และสุดท้าย เขาก็ได้ประกาศสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ หลังจากภรรยาคลอดลูกสาวคนแรก นั่นก็คือการประกาศบริจาคหุ้น 99% ที่เขามีใน Facebook ให้กับองค์กรการกุศล

เนื่องจากโครงสร้างสองชั้นที่ไม่เหมือนใครของการถือหุ้นใน Facebook ซึ่งเขาเป็นเจ้าของหุ้น Super Voting พิเศษ Zuckerberg จึงสามารถให้หุ้นสามัญได้ในขณะที่ยังคงสามารถควบคุมเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เขาก่อตั้งขึ้นในปี 2004 ได้อยู่อย่างเบ็ดเสร็จ แม้จะบริจาคหุ้นไปจำนวนมหาศาลเพื่อการกุศลแล้วก็ตามที

CEO ของ Facebook ประกาศการบริจาคของเขาในจดหมายถึง Max ลูกสาวคนแรกของเขา

“วันนี้ผมและภรรยาตั้งใจจะใช้ชีวิตด้วยการทำส่วนเล็ก ๆ ของเราเพื่อช่วยแก้ปัญหาความท้าทายเหล่านี้ ผมจะยังคงทำหน้าที่เป็น CEO ของ Facebook ต่อไปอีกหลายปี แต่ปัญหาเหล่านี้สำคัญเกินกว่าจะรอจนกว่าที่ผมจะแก่กว่าเพื่อเริ่มงานนี้ ซึ่งการเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ เราหวังว่าจะเห็นประโยชน์เพิ่มมากขึ้นตลอดชีวิตของผม”

“พวกเราก็ได้เริ่มมูลนิธิ Chan Zuckerberg เพื่อเข้าร่วมกับผู้คนทั่วโลกเพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์และส่งเสริมความเท่าเทียมกันสำหรับเด็กทุกคนในรุ่นต่อไป จุดเริ่มต้นของการมุ่งเน้นของเราคือการเรียนรู้ส่วนบุคคล การรักษาโรค การเชื่อมโยงผู้คนและการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”

“ผมจะมอบหุ้น Facebook ของเรา 99% ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 45 พันล้านเหรียญในช่วงชีวิตของเราเพื่อพัฒนาภารกิจนี้ เรารู้ว่านี่เป็นผลงานเล็กน้อยเมื่อเทียบกับทรัพยากรและความสามารถของผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว แต่เราต้องการทำสิ่งที่เราทำได้และทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกของเราให้ดีขึ้นในอนาคต”

ต้องบอกว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากเมื่อ 5 ปีก่อนหน้า Mark ได้ลงนามใน “Giving Pledge” – พร้อมกับเศรษฐีทางด้านเทคโนโลยีคนอื่น ๆ เช่น Bill Gates เพื่อมอบทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของเขาให้กับการกุศลมาก่อนหน้านี้แล้ว

Mark ได้กล่าวถึง Gates ว่าเป็นหนึ่งในวีรบุรุษในวัยเด็กของเขาเพราะความกระตือรือร้นในการสร้าง Microsoft ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี  Gates เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกโดยมีมูลค่าประมาณ 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลของ Bloomberg Billionaires ซึ่งคาดการณ์ว่ามูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของ Mark Zuckerberg อยู่ที่ สี่หมื่นหกพันล้านเหรียญสหรัฐ

Bill Gates ที่เปรียบเสมือนฮีโร่ของ Mark Zuckerberg
Bill Gates ที่เปรียบเสมือนฮีโร่ของ Mark Zuckerberg

Mark ได้ชื่นชมความพยายามเพื่อการกุศลของ Gates ด้วยเช่นกัน จนกลายเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรก ๆ ที่เข้าร่วม Giving Pledge ซึ่งเป็นความริเริ่มที่เริ่มต้นโดย Gates และ Warren Buffett เพื่อนำเงินจากบุคคลที่ร่ำรวย มาบริจาคให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของความมั่งคั่งของพวกเขาเพื่อการกุศล ในช่วงอายุของพวกเขาหรือหลัง โดย Gates ได้ให้คำมั่นว่าจะมอบทรัพย์สินอย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์เพื่อโครงการดังกล่าว

จากบทความชุดนี้เราจะเห็นได้ว่า เหล่าเศรษฐี ในประเทศอเมริกา นั้นกำลังสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับเศรษฐีรุ่นหลัง ๆ ในการบริจาคเงินที่ได้จากการทำธุรกิจ โดยไม่ใช่ทำเพื่อเพียงการประชาสัมพันธ์ หรือ ทำ CSR ให้กับองค์กรเพียงอย่างเดียวเหมือนที่เราได้เห็นในประเทศไทย

แต่มันเป็นการบริจาคความมั่งคั่งส่วนตัว และเป็นส่วนใหญ่ที่มากกว่าครึ่งที่พวกเขาเหนื่อยตรากตรำ สร้างธุรกิจของพวกเขามา ต้องบอกว่า Mark Zuckerberg นั้นถือเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าทึ่ง ที่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกเรา ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางเรื่องธุรกิจอย่าง Facebook ที่มีนวัตกรรมที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์เรามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในเรื่องการกุศล ที่เขาต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น ผ่านกองทุนการกุศล Chan-Zuckerberg ของเขาและภรรยา นั่นเองครับ ซึ่งผมคิดว่าเศรษฐีในไทยเราน่าจะเอาอย่างบ้างนะคร้าาาบบบบ

–> อ่านเพิ่มเติมประวัติ Mark Zuckerberg

References : https://techcrunch.com/2010/10/31/zuckerberg-d-angelo/
https://www.geeknaut.com/synapse-media-player-mark-zuckerbergs-music-app-04191641.html
http://geekhmer.github.io/blog/2016/03/01/4-startups-mark-zuckerberg-created-before-facebook/
https://www.businessinsider.com/mark-zuckerberg-giving-away-99-of-his-facebook-shares-2015-12