ประวัติ Agoda บริษัทจองโรงแรมยักษ์ใหญ่ที่ก่อตั้งในไทย

อโกด้า (Agoda) คือ บริษัทผู้ให้บริการสำรองห้องพักทางออนไลน์ สำหรับโรงแรมในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกเป็นหลัก โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์และมีสำนักงานดำเนินการหลักอยู่ที่ กรุงเทพ กัวลาลัมเปอร์ โตเกียว ซิดนีย์ ฮ่องกง และบูดาเปสต์ นอกจากนี้ยังมีสำนักงานย่อยในเมืองใหญ่ทั่วเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปและอเมริกา

ประวัติจาก Startup เล็ก ๆ สู่ธุรกิจหมื่นล้านเหรียญ 

โดย Agoda นั้นก่อตั้งปี 1998 โดยนายไมเคิล เคนนี่ (Michael Kenny) ภายใต้ชื่อแพลนเน็ต ฮอลิเดย์ ดอตคอม (PlanetHoliday.com) โดยมีแนวคิดเริ่มแรกในการใช้เสิร์ชเอนจิน เพื่อเติมเต็มช่องว่างทางด้านข้อมูลโรงแรมและการท่องเที่ยว และ เพื่อเป็นเว็บไซด์ต้นทางในการค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยว (Search Engine) รวมถึงรับจองโรงแรมออนไลน์อีกด้วย

ธุรกิจของ ไมเคิล โตเร็วมากๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมสักแห่งเดียวเลยก็ตาม แต่เขาทำเงินได้มากจากการเป็นเอเจนซี่รับจองโรงแรมทั่วโลก 

โดย แพลนเน็ต ฮอลิเดย์นับเป็นหนึ่งในเว็บไซต์จองโรงแรมแห่งแรก ๆ ในวงการสำรองห้องพักออนไลน์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เว๊บไซต์การจองโรงแรมที่กำลังเติบโตอย่างสุดขีดในขณะนั้น
เว๊บไซต์การจองโรงแรมที่กำลังเติบโตอย่างสุดขีดในขณะนั้น

แต่เดิม นายเคนนี่อาศัยอยู่ในลองไอส์แลนด์ นครนิวยอร์ก ก่อนจะย้ายมาประเทศไทยในปี 1994 และก่อตั้งเว็บไซต์พร้อมสำนักงานเล็ก ๆ ขึ้นในเกาะภูเก็ต ซึ่งช่วงปี  2000-2001 เป็นยุคที่ธุรกิจ ดอตคอม ตกต่ำ และเกิดเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน  2001 ในสหรัฐอเมริกา

และในปี 2003 เกิดโรคซาร์สระบาด เหตุการณ์ทั้งหมดได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่เว็บไซต์ที่อยู่ในวงการธุรกิจสำรองห้องพักออนไลน์ทั้งหมด ก็สามารถเอาตัวรอดจากหายนะเหล่านี้มาได้

ปี 2002 สำนักงานของบริษัทได้ย้ายจากภูเก็ตมาที่กรุงเทพ และในปี 2005 บริษัทได้เพิ่ม พรีซิชั่น เรเซอร์เวชั่น ดอตคอม (PrecisionReservation.com) เข้ามา ในฐานะเว็บไซต์หุ้นส่วนเพื่อให้บริการจองโรงแรมผ่านเว็บไซต์ที่เป็นพันธมิตร

และในปีเดียวกันนี้ แพลนเน็ต ฮอลิเดย์ และ พรีซิชั่น รีเซอร์เวชั่น ก็ได้รวมเข้าด้วยกันภายใต้ชื่อ บริษัท อโกด้า จำกัด ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วไปทั่วเอเชีย

ในเดือนพฤศจิกายน 2007 Priceline.com (NASDAQ: PCLN) ได้ซื้อกิจการของบริษัทอโกด้า นับเป็นบริษัทนานาชาติแห่งที่สามที่ Priceline.com ตัดสินใจซื้อ

โดย Priceline วางแผนที่จะใช้ในการขยายสู่เอเชีย (ยกเว้นจีนและอินเดียที่ซึ่งต้องเผชิญกับคู่ปรับตัวฉกาจ) การเข้าซื้อกิจการ agoda ทำได้ในราคาถูก: โดย ไมเคิล เคนนี่ เจ้าของของอโกด้าได้รับเงินล่วงหน้า 16 ล้านดอลลาร์และอีก 142 ล้านดอลลาร์หากเขาบรรลุเป้าหมายบางอย่างภายหลังเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ

เติบโตอย่างรวดเร็วจน priceline ยักษ์ใหญ่ด้าน Hotel Agency ในขณะนั้นเข้ามา Take over
เติบโตอย่างรวดเร็วจน priceline ยักษ์ใหญ่ด้าน Hotel Agency ในขณะนั้นเข้ามา Take over

ซึ่งในขณะนั้นต้องบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ลึกลับมากในการเดินทางท่องเที่ยวไปยังเอเชีย ในขณะที่นักท่องเที่ยวกำลังเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตอย่างสะดวกสบายในการจองทริปไปยังสถานที่ต่าง ๆ เช่นเวียดนาม หรือ ในไทยเองก็ตาม

ปัจจุบัน อโกด้ามีพนักงานกว่า 2,000 คน และให้บริการสำรองห้องพักออนไลน์จากโรงแรมกว่า 250,000 แห่งทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ที่มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ กัน 38 ภาษาซึ่งรวมถึงภาษาจีนกลาง จีนกวางตุ้ง ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลี และไทย

ซึ่งต่อมาสุดท้าย Priceline Group ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Booking Holdings และซื้อขายกันในตลาดหุ้น NASDAQ โดยใช้ชื่อย่อว่า BKNG มาจวบจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ

References : 
https://www.forbes.com/forbes/2009/0824/travel-expedia-travel-how-priceline-survives-recession.html#e1d9b3e66618
https://www.wikipedia.org
https://www.agoda.com/th-th/info/about-agoda.html

มารู้จักการออกแบบหุ่นยนต์ที่สร้างมาเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมกันเถอะ

อาคารและแนวชายฝั่งสามารถตรวจสอบได้โดยกลุ่มหุ่นยนต์ที่สามารถซ่อมแซมได้แบบอิสระ ตามความคิดริเริ่มของบริษัท Startup จากเดนมาร์กที่ให้การสนับสนุนเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่จะมาแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมทั่วโลก

ซึ่งความคิดริเริ่มดังกล่าวนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัทจากเดนมาร์กที่มุ่งเน้นในเทคโนโลยีในอนาคต 3 บริษัท คือ GXN Innovationซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของสถาปนิกที่ชื่อว่า 3XN ; แพลตฟอร์มที่ช่วยเหลือในการผลิตอย่างThe AM AM Hub ; และบริษัทMap Architects

การแก้ปัญหาเรื่องความเสื่อมของสภาพแวดล้อม

บริษัท ต่าง ๆ เชื่อว่าความท้าทายระดับโลก เช่น ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการเสื่อมสภาพของโครงสร้างพื้นฐานทางชีวภาพในท้องทะเล สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

พวกเขามองเห็นกลุ่มยานยนต์แบบ 3D ที่สัญจรไปมาทั้งทางบก ทางอากาศและทางทะเล

หุ่นยนต์หกขาเป็นหนึ่งในแนวคิดที่จินตนาการโดย Break the Grid
หุ่นยนต์หกขาเป็นหนึ่งในแนวคิดที่จินตนาการโดย Break the Grid

“ การเพิ่มจำนวนเครื่องพิมพ์ 3 มิติเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อาจเป็นการปฏิวัติรูปแบบการผลิตของโลกเรา” ผู้ก่อตั้ง GXN อธิบาย

“ด้วยการเปิดใช้งานหุ่นยนต์ผ่านเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถที่จะคลาน ว่ายน้ำ และบินได้ จะทำให้เราสามารถรับมือกับภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาเร่งด่วนที่มีอยู่ทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

หุ่นยนต์สามตัวสำหรับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

บริษัทได้ออกแบบแนวคิดที่แตกต่างกันสามแบบเพื่อจัดการกับกรณีการใช้งานแยกกันทั้งสามกรณี ซึ่งหุ่นยนต์เหล่านี้จะทำการสแกนสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติเพื่อระบุพื้นที่ปัญหาและดำเนินการแก้ไขทันที

ซึ่งตัวอย่างแรกในการออกแบบหุ่นยนต์นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุใต้น้ำได้ เช่น การสร้างแนวปะการังเทียม หรือ โครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องแนวชายฝั่งจากการกัดเซาะและการให้ที่อยู่อาศัยสำหรับสิ่งมีชีวิตทางทะเล

หุ่นยนต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวปะการังเทียมเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
หุ่นยนต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวปะการังเทียมเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง

มันจะทำงานโดยการพ่นทรายผสมจากพื้นมหาสมุทร และทำงานร่วมกับกาวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกาวธรรมชาติซึ่งผลิตจากหอยนางรมและสารที่ยึดเกาะได้แบบเปียก

ในขณะเดียวกันหุ่นยนต์หกขาจะวิ่งไปตามเมืองต่าง ๆ ทำการ Scan หา และซ่อมแซมรอยแตกขนาดเล็กในคอนกรีต ซึ่งช่วยลดความเสียหาย โดยจะสามารถแก้ไขได้ก่อนที่น้ำและออกซิเจนจะซึมเข้าไปข้างในซึ่งนำไปสู่การกัดกร่อนต่อไปนั่นเอง

ศักยภาพของวัสดุในการ “รักษาด้วยตัวเอง”

ทีมงาน Break the Grid จินตนาการว่าหุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่บนบกเหล่านี้สามารถที่จะพิมพ์ฟิลเลอร์รูพรุนแบบ 3 มิติ ซึ่งจะผสมกับเชื้อรา trichoderma reesei ซึ่งมันจะช่วยในการก่อตัวของแคลเซียมคาร์บอเนต และทำให้การรักษาวัสดุได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ

หุ่นยนต์ตัวนี้สามารถลาดตระเวนบริเวณที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นคอนกรีตได้จากระยะไกลจากสภาพแวดล้อมแบบเมืองได้

หุ่นยนต์ที่ทำงานบนยอดตึกสูงเพื่อซ่อมแซมความเสียหาย
หุ่นยนต์ที่ทำงานบนยอดตึกสูงเพื่อซ่อมแซมความเสียหาย

แนวคิดที่สามคือ หุ่นยนต์โดรน ที่จะทำงานในรอบ ๆ ตัวอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่ออาคารเหล่านี้เก่าและเสื่อมสภาพลง ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานลดลง พวกโดรนเหล่านี้จะเข้ามาช่วยซ่อมแซมความเสียหาย

แนวคิดนี้นำมาจากการวิจัยวัสดุใหม่ที่ใช้แก้วและโพลีเมอร์ที่สามารถปรับแต่งได้ เพื่อสร้างฉนวนกันความร้อนบนโครงสร้างอาคารที่มีอยู่นั่นเอง

แนวคิดบนพื้นฐานของเทคโนโลยีที่ใหม่ ๆ

ในขณะที่การออกแบบของ Break the Grid นั้นเป็นเพียงแค่ทฤษฎี แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจริง ทีมยังได้ทำการแฮ็กเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่มีอยู่ เพื่อสร้างต้นแบบหุ่นยนต์ตามแนวคิดของพวกเขา

“ เราหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้อุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ ในปัจจุบันนั้นมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ซึ่งจะต้องมีการผสมผสานการออกแบบและเทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนค่านิยมของพวกเราและปรับเปลี่ยนวิธีคิดในปัจจุบันของเรา” เขากล่าวเสริม

Break The Grid เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Moonshots ของ AM-Hub ของเดนมาร์กซึ่งมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ ที่มีแนวคิดหลักว่าจะสามารถสร้างโลกที่ดีขึ้นได้อย่างไร

References : 
https://www.dezeen.com

Movie Review : Angel Has Fallen ผ่ายุทธการ ดับแผนอหังการ์

เรียกได้ว่า ผมตั้งความหวังไว้สูงมาก กับ ภาคที่ 3 ของหนังตระกูลนี้ หลังจากประทับใจมาก ๆ กับ ทั้ง Olympus has fallen และ London has fallen เป็นหนังที่เชื่อว่าแฟน ๆ ของ เจอราร์ด บัตเลอร์ นั้นรอคอยที่จะได้ติดตามภาคที่ 3 กันอย่างใจจดใจจ่ออย่างแน่นอน

ภาคแรก Olympus Has Fallen ใน ปี 2013 ไมค์ แบนนิ่ง ต้องปกป้องประธานาธิบดีที่โดนผู้ก่อการร้ายบุกถล่มทำเนียบขาว ที่เรียกได้ว่า บ้าระห่ำมาก ๆ สมใจคอหนังแอคชั่นบู๊ล้างผลาญเป็นอย่างดี

ภาคต่อมา London Has Fallen ในปี 2016 ไมค์ แบนนิ่ง และประธานาธิบดีเดินทางไปลอนดอน ไมค์ แบนนิ่ง ต้องพาประธานาธิบดีหนีตายจากการไล่ล่าของกลุ่มผู้ก่อการร้ายเช่นเดิม แต่เปลี่ยน Location จาก อเมริกาเป็น London เมืองหลวงของอังกฤษแทน 

สำหรับในภาคใหม่นี้ อย่าง Angel Has Fallen เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับ ไมค์ แบนนิ่ง (เจอราร์ด บัตเลอร์) และประธานาธิบดี อัลลัน ทรัมบูล (มอร์แกน ฟรีแมน) ถูกโจมตีจากกลุ่มก่อการร้ายแม้รอดชีวิตมาได้ แต่กลับกลายเป็นว่า ไมค์ แบนนิ่งถูกตั้งข้อหาพยายามสังหารประธานาธิบดีเสียเอง

เขาจึงหลบหนีจากการไล่ล่าของเจ้าหน้าที่พร้อมกับต้องตามล่าตัวการเพื่อล้างมลทินและปกป้องประธานาธิบดีที่กำลังตกอยู่ในอันตรายจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและผู้ก่อการร้ายระดับพระกาฬอีกครั้ง

ซึ่งแน่นอนว่า แฟน ๆ ก็ตั้งความหวังไว้กับเรื่องนี้มาก เช่นเดียวกันที่ทำผลงานได้ดีใน 2 ภาคแรก แต่โดยส่วนตัวหลังจากเดินออกจากโรงหนังแล้วนั้น

ต้องบอกตรง ๆ ว่าผิดหวังกับภาคที่ 3 นี้ พอสมควร ซึ่งแน่นอนว่าแม้หนังจะเป็น เต็มไปด้วยความสนุกแบบแอคชั่น บ้าระห่ำ มีฉากยิงและฉากระเบิดสนุก ๆ เหมือนในทุก ๆ ภาค

แต่ส่วนที่ต่างออกไปของหนังภาคนี้ คือชัดเจนมากในเรื่องบทของหนังที่ ด้อยกว่าสองภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด  ตัวร้ายที่ไม่ร้ายลึก ไม่ค่อยมีมิติ  ฉาก CG ที่ดูไม่สมจริงเป็นอย่างยิ่ง  เนื้อเรื่องก็เดาง่ายจนเกินไปผิดกับสองภาคแรก แถมเนื้อหาของหนัง มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยในหลาย ๆ จุด

ถือเป็นการปิด ไตรภาค ได้ไม่ค่อยสวยหรูเท่าที่ควร สำหรับหนังตระกูล Fallen ในครั้งนี้ แต่ก็
ยังมีส่วนที่ทำได้ดี คือ การนำเรื่องราวชีวิตเบื้องหลังของครอบครัวไมค์ ช่วงเวลาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกที่หนังนำเสนอ

และอย่างน้อย คอหนังแอคชั่นคงจะสนุกสนานกับเรื่องนี้ได้ดี เพราะเต็มไปด้วยฉากแอ๊คชั่นตลอดทั้งเรื่อง และสามารถที่จะรับชมได้อย่างเพลิดเพลิน ตลอด 2 ชั่วโมงจนจบ ซึ่งผมคิดว่าคงจะเป็นภาคสุดท้ายของหนังตระกูลนี้แล้วอย่างแน่นอนครับ 

Geek Monday EP16 : JD.Com กับการใช้ AI , Big Data & Robotics ปฏิวัติการค้าปลีก

JD.Com ไม่เพียง แต่ลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคตเท่านั้น แต่พวกเขายังนำเทคโนโลยีของวันนี้ไปใช้ในการดำเนินงานในหลาย ๆ ด้านตั้งแต่คลังสินค้าอัจฉริยะไปจนถึงการส่งมอบด้วยโดรน และนี่เป็นตัวอย่างที่ JD.Com ใช้ AI ,Big Data และ หุ่นยนต์ในการดำเนินงานในปัจจุบัน: 

คลังสินค้าอัตโนมัติ: คลังสินค้าของ JD.Com ตอนนี้พวกเขากำลังดำเนินการเพื่อทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้โดยอัตโนมัติ   

หุ่นยนต์: หุ่นยนต์ที่ก้าวหน้าที่สุดของบริษัท ทำงานในคลังสินค้ากว่า 500 แห่ง ซึ่งพวกมันสามารถวางสินค้าบนชั้นวาง และแพ็คสินค้า รวมถึงจัดส่งสินค้าเพื่อส่งไปยังผู้บริโภค  

Drone : JD Com ใช้โดรนเพื่อส่งมอบสินค้าไปทั่วประเทศจีนตั้งแต่เดือนมีนาคม 2016 พวกเขาใช้โดรนที่มีรูปร่างและขนาดต่าง ๆ และปัจจุบันพวกเขากำลังทำงานเพื่อสร้างโดรนที่สามารถบรรทุกได้มากถึงห้าตัน  

Facial Recognition : บริษัทกำลังทดสอบซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ซื้อนำสินค้าออกจากร้านโดยไม่ต้องหยุดจ่าย ซึ่งการชำระเงินจะถูกควบคุมผ่านการจดจำใบหน้านั่นเอง       

Big Data : JD คอมสร้างโมเดลจากข้อมูลผู้บริโภคที่มีการสร้างโปรไฟล์ของทุกคนที่ติดตามแบรนด์โปรด สถานะการสมรส และอื่น ๆ พวกเขาใช้ข้อมูลที่รวบรวมเพื่อแจ้งกลยุทธ์การตลาดในอนาคต และสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้ามากยิ่งขึ้น   

JD ดอทคอมเติบโตอย่างมากเป็นและมีแผนการดำเนินการให้กลายเป็นตลาดค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามในฐานะที่ JD เป็นหนึ่งในผู้นำของอีคอมเมิร์ซ พบว่า ต้องมีการคิดล่วงหน้าเพื่อพัฒนาโซลูชันที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีล่าสุด และด้วยการลงทุนของบริษัท ในการวิจัยและพัฒนาและผลักดันให้ JD กลายเป็นผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดนั่นเองครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ    

ฟังผ่าน Podbean : 
https://tharadhol.podbean.com/e/geek-monday-ep16-jd-com-ai-big-data-robotics-retails/

ฟังผ่าน Spotify : https://open.spotify.com/episode/2JZEzRkAwhqmYJBd30k1vM

ฟังผ่าน Youtube :
https://youtu.be/U-ZtcIYOXvA

Artificial Sun ดวงอาทิตย์เทียมของจีนกับการสร้างพลังงานนิวเคลียร์

ทีมนักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์กายภาพ เหอเฟย ของจีน ได้ประกาศว่า  เครื่องปฏิกรณ์ทดลองขั้นสูง Tokamak (EAST) หรือ เครื่องปฏิกรณ์ “Artificial Sun (ดวงอาทิตย์เทียม)” ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างกระบวนการสร้างพลังงานแสงอาทิตย์แบบธรรมชาติ เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานได้กว่า 1 ล้านองศาเซลเซียส (180 ล้านองศาฟาเรนไฮต์)

สำหรับการเปรียบเทียบแกนกลางของดวงอาทิตย์ของจริงนั้น  จะมีอุณหภูมิประมาณ  27 ล้านองศาฟาเรนไฮต์  ซึ่งหมายความว่าเครื่องปฏิกรณ์ EAST นั้นมีความร้อนมากกว่าดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดมากกว่าถึง 6 เท่า

เมื่อนิวเคลียสของไฮโดรเจนสองอันรวมกัน พวกมันจะผลิตพลังงานได้จำนวนมหาศาล ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า nuclear fusion ซึ่งดวงอาทิตย์จะสร้างแสงและความร้อนในปริมาณที่มหาศาล  ซึ่งถ้าเราสามารถหาวิธีที่จะควบคุมมันได้นั้น เราก็จะมีแหล่งพลังงานสะอาดที่ไร้ขีดจำกัดนั่นเอง 

เครื่องปฏิกรณ์ Tokamaks ( EAST ) สามารถช่วยให้เราทำสิ่งนั้นได้ พวกมันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สนามแม่เหล็กเพื่อควบคุมพลาสมา ในแบบที่สามารถรองรับนิวเคลียร์ฟิวชั่นได้ และ EAST เองก็ให้ความร้อนจนถึงอุณหภูมิที่สูงน่าเหลือเชื่อเช่นเดียวกัน

ซึ่งในขณะนี้“ ดวงอาทิตย์เทียม” ของจีนมีความสามารถในการให้ความร้อนกับพลาสมา ตามอุณหภูมิที่นักวิจัยต้องการสำเร็จ ซึ่งตอนนี้เหล่านักวิจัยสามารถมุ่งเน้นไปที่ขั้นตอนต่อไปตามเส้นทางสู่การหลอมนิวเคลียร์เพื่อสร้างพลังงานที่เสถียรขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

References : 
http://english.hf.cas.cn