เข้าสู่ Apple ยุคผลัดใบ เมื่อ Jony Ive เตรียมจากลา

Jony Ive ผู้นำด้านการออกแบบของ Apple กำลังจะออกจาก บริษัท ในปลายปีนี้หลังจากใช้เวลานานกว่าสองทศวรรษใน บริษัทจนทำให้ apple ยิ่งใหญ่ได้ถึงทุกวันนี้

Ive จะเริ่มธุรกิจออกแบบของตัวเองในนาม LoveFrom และเขาวางแผนที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Apple ในฐานะลูกค้าแทน ตามการรายงานของ Financial Times ซึ่งเป็นสื่อแรกที่รายงานข่าวการจากไปของเขา โดยทางApple ยังไม่ออกมาให้ความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

ข่าวดังกล่าวสร้างความประหลาดใจเนื่องจาก Ive เป็นเสาหลักที่ยาวนานของ Apple ที่ช่วยบุกเบิกการออกแบบที่ทำให้ Apple เป็นหนึ่งใน บริษัท ที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก – จาก iPhone ถึง iMac ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ Ive ได้ดูแลงานออกแบบที่ Apple และการเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่ชื่อว่า “spaceship”ในเมือง Cupertino รัฐแคลิฟอร์เนีย

“ หลังจากผ่านไปเกือบ 30 ปีและโครงการที่นับไม่ถ้วนผมภูมิใจในงานที่เราได้ทำเพื่อสร้างทีมงานออกแบบกระบวนการและวัฒนธรรมของ Apple  วันนี้ Apple มีความแข็งแกร่งแข็งแกร่งและมีความสามารถมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple เลยก็ว่าได้” Ive กล่าวในการแถลงบนเว็บไซต์ของ Apple

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สำหรับรูปแบบธุรกิจที่เน้นฮาร์ดแวร์ในอดีตของ Apple  โดยเมื่อปีที่แล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปีที่แอปเปิ้ลปรับลดการคาดการณ์รายได้ลง ; บริษัท บางส่วนของยอดขายฮาร์ดแวร์ที่ลดลงมาจากสงครามการค้าสหรัฐจีน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Apple มีความพยายามที่จะขยายช่องทางการหารายได้ของตนด้วยการเปิดตัวบริการใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์หลักเช่น  วิดีโอสตรีมมิ่ง

โดยจะยังไม่มีตัวแทนที่ทันทีสำหรับ Jony Ive แต่ VP of industrial design อย่าง Evans Hankey และ VP of human interface design อย่าง Alan Dye จะมีการรายงานตรงไปที่ Apple COO Jeff Williams แทน

“ Jony เป็นบุคคลสำคัญในโลกการออกแบบและบทบาทของเขาในการฟื้นฟู Apple ตั้งแต่ iMac ที่ก้าวล้ำในปี 1998 สู่ iPhone และความทะเยอทะยานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของ Apple Park   

Ive รายงานว่าจะให้ Apple เป็นลูกค้ารายแรกสำหรับกิจการใหม่ของเขาซึ่งเขามีเป้าหมายที่จะเริ่มมันในปี 2020

References : 
https://www.vox.com/recode/2019/6/27/18761773/jony-ive-design-legend-helped-create-iphone-leaving-apple?fbclid=IwAR3V3-J4MO2PtZuF6FYOvQ__pmWo020-tEOkkXtJZ59ekXJnT9zsPody0Hk

กาแฟร้อน ๆ มาแล้ว! มารู้จัก Cafe X หุ่นยนต์บาริสต้ากันเถอะ

การปฏิวัติหุ่นยนต์มาถึงแล้วอย่างน้อยก็สำหรับกาแฟในตอนเช้าของคุณ Cafe X Technologies เป็นบาริสต้าอัตโนมัติตัวใหม่ที่ออกแบบโดยทีมที่ได้รับรางวัลด้านหูฟังและลำโพงของ Dr. Dre’s: Ammunition Group 

ซึ่งเจ้าเครื่องชงกาแฟสไตล์ Jetsons สามารถทำกาแฟได้ 120 แก้วต่อชั่วโมงในสเป็คที่ตอบสนองการคั่วที่พิถีพิถันเหมือนเชนร้านกาแฟชื่อดังอย่าง starbuck

Cafe X นั้นได้เปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบภายใต้แขนกลหกแกนในราคา  25,000 เหรียญสหรัฐ ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าบนหน้าจอสัมผัส KiOsk หรือผ่านแอพ Cafe X บนมือถือได้ทันทีและจะได้รับข้อความเมื่อเครื่องดื่มพร้อมหลังจากใช้เวลาในการเตรียมพร้อมเสริฟประมาณหนึ่งนาที 

เช่นเดียวกับที่ร้านกาแฟทั่วไปคุณจะมีตัวเลือกเครื่องดื่มมากมายเช่น ลาเต้ เอสเปรสโซ่และอื่น ๆ รวมถึงฟองนมชนิดต่างๆ แม้แต่ท่าทางของหุ่นยนต์ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมอบประสบการณ์การดื่มกาแฟที่แท้จริง เครื่องจะแสดงท่าทาง “ta-da!” ที่ชัดเจนในแต่ละถ้วย

Cafe X ที่ทำให้เหล่าสาวกกาแฟ หลงรัก
Cafe X ที่ทำให้เหล่าสาวกกาแฟ หลงรัก

“ เรารู้ว่าหุ่นยนต์สามารถสร้างกาแฟแบบพิเศษได้ แต่เราต้องการให้มันดูอบอุ่นและเป็นมิตร” เฮนรี่ หู นักประดิษฐ์วัย 24 ปี ผู้ให้กำเนิดแนวคิดของเขาที่ Babson College หลังจากเคยรอคิวกาแฟนที่นานเกินไปที่สนามบิน “ บาริสต้าที่ผมเจอดูเหมือนคนงานในโรงงาน” เขากล่าว “ พวกเขาจับแก้กาแฟแล้วขยับไปรอบ ๆ และกดปุ่มซึ่งทำให้ผมคิดว่า ’พนันได้เลยว่าเราสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ทำให้งานที่น่าเบื่อเหล่านี้เป็นไปโดยอัตโนมัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ราคาเต็มสำหรับหุ่นยนต์บาริสต้ารวมถึงแขนหุ่นนั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผยโดย Cafe X บริษัท มีแผนที่จะเปิดเผยข้อมูลราคาในปลายปีนี้

Cafe X ได้ทำการเปิดตัวเมื่อปีที่แล้วที่ AMC Metreon และ 578 Market Street ในเมืองซานฟรานซิสโก และในรุ่นที่สองเปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในใจกลางย่านการเงินของซานฟรานซิสโกที่ One Bush Plaza 

ซึ่งจะใช้คนงานที่เป็นมนุษย์มาเติมเมล็ดกาแฟและนมและทำความสะอาดหุ่นยนต์ อย่างน้อยวันละครั้งและยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์อยู่ใกล้ๆ  เพื่อให้ความรู้กับลูกค้าและนำเสนอการทดลองกาแฟ หุ่นยนต์มักจะตอบสนองการทำกาแฟมากถึง 300 ถึง 400 คำสั่งต่อวัน และที่สำคัญมันยังราคาถูกเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่น้อยมาก กาแฟอเมริกันโนราคาเพียงแก้วละ 3 เหรียญและไม่จำเป็นต้องให้ทิปกับเจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้

กาแฟพร้อมเสริฟ และที่สำคัญไม่ต้องทิป
กาแฟพร้อมเสริฟ และที่สำคัญไม่ต้องทิป

แต่ก็มีเหล่าสาวก Starbucks ที่ไม่เห็นด้วย พวกเขารักเสน่ห์ของบาริสต้าในท้องถิ่น ที่คอยชงกาแฟนให้กับพวกเขา

Starbucks – ร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีสาขามากกว่า 20,000 แห่ง – ไม่มีแผนอย่างเป็นทางการในการใช้งานหุ่นยนต์แม้ว่า บริษัทจะมีแอพมือถือยอดนิยมที่ให้คุณสั่ง Frappuccinos ได้ทุกที่ และสามารถติดตามประวัติการซื้อและยังสามารถบันทึกเพลงที่เล่นในร้านสตาร์บัคในพื้นที่ของคุณในอนาคตได้อีกด้วย

ด้วยความต้องการสูง Cafe X มุ่งเน้นที่จะขยายขีดความสามารถในการผลิตในปี 2018 และจะเปิดตัวร้านเพิ่มเติมในปี 2019 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตอย่างรวดเร็วของโลกอาหารและเครื่องดื่ม

นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีข้อบกพร่องสำหรับเข่ส Cafe X แม้ว่าจะได้รับความสนใจจากพันธมิตรแฟรนไชส์ แต่บริษัท มีแนวโน้มที่จะผลิตได้เพียง 15ตัวในปีนี้เท่านั้น ยังไม่ชัดเจนว่า บริษัท สามารถยืนระยะเพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของลูกค้าได้หรือไม่ 

เฮนรี่ หู ไม่กังวล “ ผมไม่เห็นว่าการปฏิวัติหุ่นยนต์จะเป็นปัญหา” เขากล่าว “ นวัตกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คุณกลัวหรือทำร้ายคุณแต่อย่างใด ประเด็นก็คือเพียงแค่เพื่อให้คุณได้รับกาแฟของคุณอย่างรวดเร็วและอร่อยที่สุดนั่นเอง ”

References : 
https://www.cnbc.com/2018/05/08/this-25000-robot-wants-to-put-your-starbucks-barista-out-of-business.html

Search War ตอนที่ 6 : Unstoppable Growth

เมื่อได้ เอริค ชมิดต์ เข้ามาบริหารงาน เขาได้เพิ่มมิติของ google ให้ขยายขอบเขตขึ้น ซึ่งจากประสบการณ์บริษัทเก่าที่เขาเคยทำงานด้วยไม่ว่าจะเป็น Novell และ Sun Microsystem เขาล้วนมีประสบการณ์ที่ดีในการสู้กับยักษ์ใหญ๋อย่าง Microsoft ในสงครามกฏหมายในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

ชมิดต์ นั้นมักเตือน บรินและเพจ อยู่เสมอว่า อย่าไปท้าทายยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เหมือนที่ NetScape ทำ พยายามแอบอยู่ในมุมมืด และอย่าพยายามวาดภาพว่า google นั้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่จะมาแข่งกับ Microsoft

ซึ่งส่วนนี้จะทำให้ Microsoft นั้นยังไม่สนใจ และคิดว่า google ทะเยอะทะยานต้องการทำธุรกิจมากกว่าการค้นหา ซึ่งแม้จะเป็นความจริงก็ตาม แต่ไม่จำเป็นต้องประกาศให้คนรับรู้ ยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของ google คือ กันตัวเองห่างออกจาก Microsoft ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้นั่นเอง

ในราว ๆ ปี 2002 ในที่สุด Google ก็ได้เริ่มพิสูจน์ตัวเองในฐานะธุรกิจที่สามารถทำเงินได้จริง ๆ จัง ๆ เสียที เหล่านักลงทุนเริ่มได้มองเห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจของ Google ที่กำลังจะมีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อโลกอินเทอร์เน็ต

โปรแกรมค้นหาของ Google ถูกนำไปติดตั้งเป็นโปรแกรมค้นหาหลักของเว๊บไซต์ชื่อดังมากมาย ซึ่งหนึ่งในเว๊บไซต์ที่มีอิทธิพลสูงต่อชาวอเมริกันในขณะนั้น ก็คือ AOL หรือ American Online ซึ่งมีฐานผู้ใช้งานกว่า 34 ล้านคน

Deal กับ AOL คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ google อีกครั้งหนึ่ง
Deal กับ AOL คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ google อีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งความใหญ่โตของ AOL นี่เองที่มันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของก้าวใหม่ของ Google มันได้ช่วยให้การเข้าถึง Google นั้นขยายตัวอย่างมหาศาลมากกว่า partner รายอื่นๆ  ก่อนหน้าที่ Google เคยสร้างพันธมิตรไว้

และความคิดในการนำ Google เข้าไปเป็นโปรแกรมค้นหาหลักของ AOL สืบเนื่องมาจากตัว สตีฟ เคส ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง AOL เองที่ประทับใจในการใช้งาน Google เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่ บริน และ เพจ ให้ความสำคัญกับผู้ใช้เป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและได้ผลที่น่าเชื่อถือนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ไปเตะตาเข้ากับผู้ร่วมก่อตั้ง AOL อย่าง สตีฟ เคส

ต้องเรียกได้ว่าเป็น Deal ที่ Win-Win ทั้งคู่ทั้งฝั่ง AOL เองที่ได้โปรแกรมค้นหาระดับคุณภาพมาเป็นโปรแกรมค้นหาหลักในเว๊บไซต์ของตัวเอง ส่วน Google นั้นแน่นอนว่าจะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้อีกในปริมาณมหาศาล

ซึ่งทำให้ Google สามารถที่จะทำโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาบนเว๊บไซต์ AOL มีการแบ่งส่วนแบ่งรายได้จากการทำโฆษณา

แม้สองผู้ก่อตั้งอย่างบริน และ เพจ ต้องการจะให้ Google เติบโตอย่างรวดเร็ว และพร้อมจะจ่ายเงินเต็มที่เพื่อให้ได้ร่วมธุรกิจกับ AOL ก็ตาม แต่ เอริก ชมิดต์ นั้น ค่อนข้างเป็นคนที่รอบคอบกว่า เพราะตอนนั้นสถานการณ์ทางด้านการเงินของ Google มีเงินสดอยู่เพียงแค่ 9 ล้านเหรียญในบัญชีเท่านั้น การทุ่มเงินจำนวนมากอาจจะทำให้ Google เดือดร้อนในภายหลังได้ แต่ สุดท้าย บริน และ เพจก็พร้อมที่จะเสี่ยง และผลก็คือสองผู้ก่อตั้งคิดถูกอย่างยิ่งกับ Deal ของ AOL ครั้งนี้

ซึ่งไม่เพียงแค่ AOL เท่านั้น Google ยังเดินหน้าทำสัญญาให้บริการค้นข้อมูลแก่ EarthLink รวมถึง อีก Deal ที่สำคัญกับ ask jeeves ที่เป็นโปรแกรมค้นหาคู่แข่ง ในการจัดหาโฆษณาที่เป็นข้อความให้ รวมถึง Ask Jeeves ยังคงเสนอผลการค้นหาของตนบนฐานของเทคโนโลยีที่ตนเป็นเจ้าของ ซึ่งการเป็นหุ้นส่วนกับคู่แข่งที่สำคัญนี่เอง มันคือสัญญาณบอกว่า Google กำลังโตขึ้นอีกระดับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มันทำให้ Google ได้เงินทุกครั้งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์คลิกบนโฆษณา ที่มันแสดงขึ้นบนผลการค้นหา และมันถูกทำงานแบบอัตโนมัติ โดยระบบการประมูลออนไลน์ ซึ่งมันทำให้ Google มั่นใจได้ว่า จะได้รับราคาที่ดีที่สุดอยู่เสมอ และสร้างกระแสเงินสดปริมาณมหาศาลให้ Google มากขึ้นเรื่อย ๆ 

มันได้ทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกมากมาย ทั้งระบบทำงานแบบอัตโนมัติ หรือ การเกิดขึ้นของเหล่านักการตลาดมืออาชีพ ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญการทำการตลาดผ่าน Google หรือ เหล่านักสร้าง Content ให้ติดอันดับการค้นหาใน Google ในผลการค้นหาแรก ๆ 

Deal กับ Askjeeves ทำให้ google ยิ่งทะยานเติบโตอย่างรวดเร็ว
Deal กับ Askjeeves ทำให้ google ยิ่งทะยานเติบโตอย่างรวดเร็ว

บริษัททั้งขนาดใหญ่ และ ขนาดเล็กนั้น ได้เข้ามาร่วมการประมูลคำหลัก ๆ เหล่านี้ และทำการส่งเงินมาให้ Google ทุก ๆ วันกว่าหลายล้านเหรียญ การที่สามารถเข้าไปใช้งานด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาสื่อเก่า ๆ อย่าง ทีวี หรือ วิทยุ ทำให้ เหล่าธุรกิจขนาดย่อมสามารถที่จะร่วมในการแข่งประมูลคำเหล่านี้ได้

แต่อย่างไรก็ดีนั้น การประมูลราคาที่สูงสุด ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะทำให้โฆษณาขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของผลการค้นหา Google นั้นจะพิจารณา เรื่องความน่าสนใจของโฆษณาเป็นอีกปัจจัยด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ราคาประมูลที่สูงที่สุดเท่านั้น มันทำให้เหล่านักโฆษณาต้องมีการปรับปรุงโฆษณาให้ดึงดูดผู้ใช้งานให้มาคลิกให้มากที่สุด

การได้ทั้ง Yahoo , AOL , EarthLink และ Ask Jeeves มาเป็นหุ้นส่วนนั้น ทำให้อิทธิพลของ Google ต่อโลกอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น และกลายเป็นที่รู้จักมากที่สุด ซึ่งผลจากการกลายเป็นโปรแกรมหลักในเครือข่ายการค้นหาเหล่านี้ สุดท้ายก็ทำให้ผู้คนรู้จัก Google มากยิ่งขึ้น กลายเป็นเครือข่ายผลิตเงินให้ Google ในที่สุด

และมันส่งผลให้ฐานะทางการเงินของ Google เติบโตขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ ในปี 2002 นั้น Google สร้างรายได้ 440 ล้านเหรียญ และสามารถทำกำไรได้ถึงกว่า 100 ล้านเหรียญ ซึ่งกำไรทั้งหมดมันมาจากการที่ผู้ใช้คลิกข้อความโฆษณาที่วางอยู่ทางขวาในหน้ารายงานผลการค้นหาบน Google.com

มันทำให้ บริน เพจ และ เอริก ชมิดต์ สามารถจะผลักดันให้ Google เติบโตได้อย่างเต็มที่ พวกเขาแทบจะปิดปากเงียบสนิท เกี่ยวกับตัวเลขทางการเงินเพื่อไม่ให้คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Microsoft และ Yahoo รู้ว่าการค้นข้อมูลออนไลน์และธุรกิจการโฆษณาของตนนั้นทำกำไรได้มหาศาลขนาดไหน ซึ่งกว่าที่เหล่ายักษ์ใหญ่เหล่านี้จะรู้เท่าทัน Google ก็ได้พัฒนาบริการของตนเองจน ยากที่คู่แข่งจะตามทันเสียแล้ว

การเป็นผู้ริเริ่มทำเป็นคนแรก และการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอเมริกาของ Google มันได้ย้ายเงินโฆษณาที่เดิมต้องจ่ายให้สื่อเก่า ๆ อย่าง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ และ นิตยสาร มายังอินเทอร์เน็ตแทน และตอนนี้ บริษัทซึ่งตั้งเป้าหมายแรกเพียงแค่ต้องการเป็นผู้สนองการค้นข้อมูลเพียงอย่างเดียวอย่าง Google ได้ก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจของบริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ต ผ่านการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตได้สำเร็จแล้ว 

แล้วเหล่ายักษ์ใหญ่ จะรู้ตัวเมื่อไหร่ ว่าพวกเขากำลังถูกแย่งชิงเค้กเม็ดเงินโฆษณาทางออนไลน์จำนวนมหาศาลที่ Google ดึงมาได้สำเร็จ และจะตอบโต้กับ การเติบโตที่รวดเร็วของ Google ได้อย่างไร Google จะทะยานไปทางไหนต่อ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 7 : The Underdog Project

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Beginning of Search *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Search War ตอนที่ 5 : Money Making Machine

แม้ Search Engine ส่วนใหญ่ในขณะนั้นจะเป็นธุรกิจที่ดูไร้อนาคต ที่ยังมองไม่เห็นโมเดลการทำเงินที่ชัดเจน แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญน่าจะเป็นแบบจำลองของ บิล กรอสส์ แห่งบริษัท Idealab ที่ได้สร้างแบบจำลองที่ฉลาดมาก ๆ สำหรับการโฆษณา โดยเชื่อมผู้โฆษณากับผลการค้นหาของการสอบถามที่เกี่ยวข้อง และให้ผู้โฆษณาประมูลพื้นที่ในรายการของผลการค้นหา

ฟังดูมันคุ้น ๆ แน่นอนเพราะมันคือต้นแบบของโมเดลทำเงินที่สำคัญของ google อย่าง Adwords นั่นเอง มันเป็นรูปแบบจำลองที่ บิล กรอสส์ สร้างขึ้น ที่ทำให้บริษัทได้เงินมากที่สุดของการค้นหาแต่ละครั้ง เพราะชื่อของผู้โฆษณาที่ประมูลด้วยราคาสูงกว่าจะปรากฏที่ด้านบนของผลการค้นหานั่นเอง

ซึ่งตอนนั้นต้องบอกว่า บิล กรอสส์ ก็ได้ให้บริการแบบนี้ให้กับเว๊บไซต์หลายแห่ง รวมทั้ง Yahoo กับ MSN ของ Microsoft ด้วย ซึ่งในขณะเดียวกันนั้น เพจและบริน ก็กำลังดิ้นรนเพื่อหาวิธีในการสร้างเงินจากโปรแกรมค้นหาของพวกเขาอย่าง google เช่นเดียวกัน

และกรอสส์ ก็ได้เข้าไปพบกับ บรินและเพจหลายครั้งเพื่อเสนอโมเดลดังกล่าว แต่ทั้งคู่นั้นยังไม่สนใจในแนวคิดที่จะทำให้ผลการค้นหาที่ให้ผู้ใช้ ใช้กับแบบฟรี ๆ อยู่นั้น แปลกปลอมไปด้วยผลการค้นหาที่ต้องจ่ายค่าบริการ

ในเวลาเดียวกันนั้น Microsoft เปิดแถลงข่าวอย่างยิ่งใหญ่ ว่า MSN กลายเป็นเว๊บท่าที่ยอดนิยมที่สุดในโลก ซึ่งในปี 2000 มีคนเข้ามาใช้งาน MSN กว่า 201 ล้านคน โดยที่ Microsoft แทบจะไม่ได้สนใจโปรแกรมค้นหาใด ๆ ด้วยซ้ำ เพราะพวกเขากำลังก้าวไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นเว๊บ portal ที่ทุกคนทั่วโลกต้องเข้าใช้งาน

ส่วน google นั้นเริ่มที่จนหนทางต้องหาทางสร้างรายได้ให้เร็วที่สุด จึงได้เริ่มพัฒนาแบบจำลองการโฆษณาของตัวเองในชื่อ Adwords ซึ่งใกล้เคียงกับแนวความคิดของ บิลล์ กรอสส์ โดยเปิดตัวในเดือนกันยายนปี 2000 

Adwords ของ google ที่คล้ายแบบจำลองของ บิลล์ กรอสส์
Adwords ของ google ที่คล้ายแบบจำลองของ บิลล์ กรอสส์

และนี่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของ google เลยก็ว่าได้ วิธีการดังกล่าวนั้น ได้กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้โฆษณา ถึงตอนนี้ โปรแกรมค้นหาของ Google นั้นทำตลาดแทบจะตลอด 24 ชั่วโมงในทุก ๆ วัน มันมีคำหรือ วลีนับล้านคำ ที่ผู้คนกำลังค้นหา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าและบริการแทบจะทั้งสิ้น ตัวอย่างชื่อสินค้าประจำวันเช่น “Pet food” อาจจะมีราคาประมํูลที่ถูก กว่า คำอย่าง “Investment Advice” ซึ่งเป็นกลไกของตลาดในเรื่องราคาที่ผู้ลงโฆษณายินดีที่จะจ่ายเพื่อให้โฆษณาของตนได้ปรากฏเมื่อมีคนค้นหาคำ ๆ นั้นบน Google

มันทำให้ Google ได้เงินทุกครั้งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์คลิกบนโฆษณา ที่มันแสดงขึ้นบนผลการค้นหา และมันถูกทำงานแบบอัตโนมัติ โดยระบบการประมูลออนไลน์ ซึ่งมันทำให้ Google มั่นใจได้ว่า จะได้รับราคาที่ดีที่สุดอยู่เสมอ และสร้างกระแสเงินสดปริมาณมหาศาลให้ Google มากขึ้นเรื่อย ๆ 

มันได้ทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกมากมาย ทั้งระบบทำงานแบบอัตโนมัติ หรือ การเกิดขึ้นของเหล่านักการตลาดมืออาชีพ ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญการทำการตลาดผ่าน Google หรือ เหล่านักสร้าง Content ให้ติดอันดับการค้นหาใน Google ในผลการค้นหาแรก ๆ 

บริษัททั้งขนาดใหญ่ และ ขนาดเล็กนั้น ได้เข้ามาร่วมการประมูลคำหลัก ๆ เหล่านี้ และทำการส่งเงินมาให้ Google ทุก ๆ วันกว่าหลายล้านเหรียญ การที่สามารถเข้าไปใช้งานด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาสื่อเก่า ๆ อย่าง ทีวี หรือ วิทยุ ทำให้ เหล่าธุรกิจขนาดย่อมสามารถที่จะร่วมในการแข่งประมูลคำเหล่านี้ได้

ซึ่งมันชัดเจนเมื่อรายงานทางด้านรายรับของ google ออกมาในปี 2000 ซึ่งอยู่ที่ 24.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีรายรับเพียงแค่ 220,000 ดอลลาร์เพียงเท่านั้น มันคือการเติบโตแทบจะ 100 เท่า จากเวทย์มนต์ของ Adwords 

และเมื่อสามารถสร้างเครื่องจักรทำเงินได้สำเร็จแล้ว เหล่าผู้สนับสนุนรวมถึงนักลงทุนได้พยายามชักจูงให้บริน และ เพจ หาคนมาเป็นประธานบริหาร เพื่อให้มานำบริษัท google ให้เติบโตอย่างมั่นคง

และหนึ่งในตัวเลือกคือ สตีฟ จ๊อบส์ แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาไม่ว่าง จึงต้องหาคนใหม่ ในที่สุดทั้งสองจึงตัดสินใจเลือก เอริค ชมิดต์ เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2001 ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทโนเวลล์ (Novell) ซึ่งในอดีตเคยรุ่งเรือง แต่ตอนนี้ต้องมาเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Microsoft และดูเหมือนทุกอย่างจะลงตัว เพราะนักลงทุนก็ชื่อชอบในตัว ชมิดต์ รวมถึงเพจและบริน ก็ดูว่าจะมีเคมีที่ตรงกันกับชมิดต์เช่นกัน ที่สำคัญ ทุกคนต่างมองว่า เขาน่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็ก ๆ ที่เป็นหนุ่ม ๆ ไฟแรงใน google ได้

เอริค ชมิดต์ ที่จะมาพา google เติบโตอย่างมั่นคงเพื่อสู่กับ Microsoft
เอริค ชมิดต์ ที่จะมาพา google เติบโตอย่างมั่นคงเพื่อสู่กับ Microsoft

ดูเหมือนว่า ตอนนี้ google ได้ค้นพบเครื่องจักรทำเงิน ที่จะพา google ทะยานไปอีกระดับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ปัญหาเรื่องเงิน คงจะไม่ใช่ปัญหาหลักของ google อีกต่อไป แม้จะดูเหมือนรายได้ 20 ล้านเหรียญเศษ ๆ นี้จะเป็นตัวเลขน้อยนิดกับรายได้ของ google ในปี 2000 เมื่อเทียบกับ Microsoft

ส่วน Microsoft นั้น ดูเหมือนจะภูมิใจกับ MSN เว๊บไซต์ portal หลัก ที่เป็นที่นิยมของผู้คนทั่วโลก ซึ่งแทบจะไม่ชายตามาสนใจโปรแกรมค้นหาเลยด้วยซ้ำ ต้องเรียกว่าตอนนี้ google พร้อมจะพลิกบริษัทให้กลายมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่แบบที่เหล่ายักษ์ใหญ่ทั้งหลายแทบจะไม่รู้ตัวแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับ google และ Microsoft จะหันมาสนใจ Search Engine เมื่อไหร่ โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 6 : Unstoppable Growth

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :The Beginning of Search *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

มารู้จักหุ่นยนต์เลียนแบบปลา ด้วยเทคโนโลยี Artificial Blood

มีหุ่นยนต์ที่น่าประทับใจหลากหลายประเภทที่มีอยู่ในห้องทดลองทั่วโลก อย่างไรก็ตามหุ่นยนต์ที่ล้ำสมัยที่สุดจำนวนมากต้องถูกจำกัดด้วยแหล่งพลังงานเพื่อให้พวกมันสามารถใช้งานได้ แต่ในอนาคตอาจจะไม่จำเป็นต้องผูกมัดกับข้อจำกัดของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สั้นอีกต่อไปด้วยเทคโนโลยี Artificial Blood จาก Cornell University

หุ่นยนต์ตัวใหม่ที่พัฒนาโดยนักวิจัยที่ Cornell University สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ พวกเขาได้สร้างหุ่นยนต์ที่มีท่าทางอ่อนนุ่มว่ายน้ำจำลองแบบปลาสิงโต ซึ่งมีอิเล็กโทรดหนึ่งคู่และอิเล็กโทรไลต์ของเหลวที่ไหลเวียน เปรียบได้กับเลือดของหุ่นยนต์ สิ่งนี้ช่วยให้หุ่นยนต์สามารถเก็บพลังงานไว้สำหรับการใช้งานที่ต้องทำเป็นเวลานาน พลังของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ในปั๊มที่ครีบหางของหุ่นยนต์ปลา รวมถึงครีบหลังและครีบอก

“ ในธรรมชาติเราจะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตสามารถทำงานได้นานแค่ไหน ในขณะที่การทำงานที่ซับซ้อน หุ่นยนต์ไม่สามารถดำเนินการแบบเดียวกันได้นานมากๆ เนื่องจากข้อจำกัดของแหล่งพลังงาน” Rob Shepherd ศาสตราจารย์ด้านเครื่องจักรกลการบินและวิศวกรรมอวกาศที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลกล่าวในการแถลง  “ วิธีการที่ได้รับแรงบันดาลใจทางชีวภาพของเราสามารถเพิ่มความหนาแน่นพลังงานให้กับระบบได้อย่างมาก ในขณะที่อนุญาตให้หุ่นยนต์ปลาสิงโตเหล่านี้เคลื่อนที่ได้นานขึ้น”

ผลลัพธ์ที่ได้คือหุ่นยนต์ที่สามารถว่ายน้ำได้อย่างต่อเนื่องนานถึง 36 ชั่วโมง ในขณะที่นั่นหมายความว่ามันจะยังคงต้องชาร์จเป็นระยะ และไม่สามารถถูกทิ้งไว้ตามลำพังสำหรับภารกิจการเฝ้าระวังที่ใช้ระยะเวลายาวนาน แต่มันก็นานกว่าหุ่นยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ส่วนใหญ่ที่สามารถทำงานได้

แต่ยังมีบางส่วนที่ต้องปรับปรุง แม้ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ที่น่าประทับใจอย่างเหลือเชื่อ แต่หุ่นยนต์ที่ได้แรงบันดาลใจจากคอร์เนลตัวนี้สามารถว่ายน้ำด้วยความเร็วประมาณ  0.01 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งหมายความว่ามันไม่ใช่หุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด 

กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือมีงานที่ต้องทำเพิ่มเติม เมื่อต้องปรับปรุงการออกแบบในบางส่วน ตามที่นักวิจัยระบุไว้ในบทคัดย่อของรายงานการวิจัยของพวกเขา “การใช้การเก็บพลังงานเคมีไฟฟ้าในน้ำมันไฮดรอลิก สามารถที่จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานได้อย่างประสิทธิภาพและเป็นฟังก์ชั่นที่สำคัญในการออกแบบหุ่นยนต์ในอนาคต”

โครงการหุ่นยนต์ Lionfish คอร์เนลเป็นงานวิจัยหัวข้อ “ระบบหลอดเลือด Electrolytic สำหรับหุ่นยนต์พลังงานสูง” ซึ่งได้รับการตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ในวารสาร Nature

References : 
https://www.digitaltrends.com/cool-tech/lionfish-robot-artificial-blood/