Jony Ive ผู้นำด้านการออกแบบของ Apple กำลังจะออกจาก บริษัท ในปลายปีนี้หลังจากใช้เวลานานกว่าสองทศวรรษใน บริษัทจนทำให้ apple ยิ่งใหญ่ได้ถึงทุกวันนี้
Ive จะเริ่มธุรกิจออกแบบของตัวเองในนาม LoveFrom และเขาวางแผนที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Apple ในฐานะลูกค้าแทน ตามการรายงานของ Financial Times ซึ่งเป็นสื่อแรกที่รายงานข่าวการจากไปของเขา โดยทางApple ยังไม่ออกมาให้ความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ข่าวดังกล่าวสร้างความประหลาดใจเนื่องจาก Ive เป็นเสาหลักที่ยาวนานของ Apple ที่ช่วยบุกเบิกการออกแบบที่ทำให้ Apple เป็นหนึ่งใน บริษัท ที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก – จาก iPhone ถึง iMac ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ Ive ได้ดูแลงานออกแบบที่ Apple และการเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่ชื่อว่า “spaceship”ในเมือง Cupertino รัฐแคลิฟอร์เนีย
“ หลังจากผ่านไปเกือบ 30 ปีและโครงการที่นับไม่ถ้วนผมภูมิใจในงานที่เราได้ทำเพื่อสร้างทีมงานออกแบบกระบวนการและวัฒนธรรมของ Apple วันนี้ Apple มีความแข็งแกร่งแข็งแกร่งและมีความสามารถมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple เลยก็ว่าได้” Ive กล่าวในการแถลงบนเว็บไซต์ของ Apple
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สำหรับรูปแบบธุรกิจที่เน้นฮาร์ดแวร์ในอดีตของ Apple โดยเมื่อปีที่แล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปีที่แอปเปิ้ลปรับลดการคาดการณ์รายได้ลง ; บริษัท บางส่วนของยอดขายฮาร์ดแวร์ที่ลดลงมาจากสงครามการค้าสหรัฐจีน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ Apple มีความพยายามที่จะขยายช่องทางการหารายได้ของตนด้วยการเปิดตัวบริการใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์หลักเช่น วิดีโอสตรีมมิ่ง
โดยจะยังไม่มีตัวแทนที่ทันทีสำหรับ Jony Ive แต่ VP of industrial design อย่าง Evans Hankey และ VP of human interface design อย่าง Alan Dye จะมีการรายงานตรงไปที่ Apple COO Jeff Williams แทน
“ Jony เป็นบุคคลสำคัญในโลกการออกแบบและบทบาทของเขาในการฟื้นฟู Apple ตั้งแต่ iMac ที่ก้าวล้ำในปี 1998 สู่ iPhone และความทะเยอทะยานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของ Apple Park
Ive รายงานว่าจะให้ Apple เป็นลูกค้ารายแรกสำหรับกิจการใหม่ของเขาซึ่งเขามีเป้าหมายที่จะเริ่มมันในปี 2020
การปฏิวัติหุ่นยนต์มาถึงแล้วอย่างน้อยก็สำหรับกาแฟในตอนเช้าของคุณ Cafe X Technologies เป็นบาริสต้าอัตโนมัติตัวใหม่ที่ออกแบบโดยทีมที่ได้รับรางวัลด้านหูฟังและลำโพงของ Dr. Dre’s: Ammunition Group
ราคาเต็มสำหรับหุ่นยนต์บาริสต้ารวมถึงแขนหุ่นนั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผยโดย Cafe X บริษัท มีแผนที่จะเปิดเผยข้อมูลราคาในปลายปีนี้
Cafe X ได้ทำการเปิดตัวเมื่อปีที่แล้วที่ AMC Metreon และ 578 Market Street ในเมืองซานฟรานซิสโก และในรุ่นที่สองเปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในใจกลางย่านการเงินของซานฟรานซิสโกที่ One Bush Plaza
เมื่อได้ เอริค ชมิดต์ เข้ามาบริหารงาน เขาได้เพิ่มมิติของ google ให้ขยายขอบเขตขึ้น ซึ่งจากประสบการณ์บริษัทเก่าที่เขาเคยทำงานด้วยไม่ว่าจะเป็น Novell และ Sun Microsystem เขาล้วนมีประสบการณ์ที่ดีในการสู้กับยักษ์ใหญ๋อย่าง Microsoft ในสงครามกฏหมายในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
ชมิดต์ นั้นมักเตือน บรินและเพจ อยู่เสมอว่า อย่าไปท้าทายยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เหมือนที่ NetScape ทำ พยายามแอบอยู่ในมุมมืด และอย่าพยายามวาดภาพว่า google นั้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่จะมาแข่งกับ Microsoft
ซึ่งส่วนนี้จะทำให้ Microsoft นั้นยังไม่สนใจ และคิดว่า google ทะเยอะทะยานต้องการทำธุรกิจมากกว่าการค้นหา ซึ่งแม้จะเป็นความจริงก็ตาม แต่ไม่จำเป็นต้องประกาศให้คนรับรู้ ยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของ google คือ กันตัวเองห่างออกจาก Microsoft ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้นั่นเอง
ในราว ๆ ปี 2002 ในที่สุด Google ก็ได้เริ่มพิสูจน์ตัวเองในฐานะธุรกิจที่สามารถทำเงินได้จริง ๆ จัง ๆ เสียที เหล่านักลงทุนเริ่มได้มองเห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจของ Google ที่กำลังจะมีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อโลกอินเทอร์เน็ต
โปรแกรมค้นหาของ Google ถูกนำไปติดตั้งเป็นโปรแกรมค้นหาหลักของเว๊บไซต์ชื่อดังมากมาย ซึ่งหนึ่งในเว๊บไซต์ที่มีอิทธิพลสูงต่อชาวอเมริกันในขณะนั้น ก็คือ AOL หรือ American Online ซึ่งมีฐานผู้ใช้งานกว่า 34 ล้านคน
ซึ่งความใหญ่โตของ AOL นี่เองที่มันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของก้าวใหม่ของ Google มันได้ช่วยให้การเข้าถึง Google นั้นขยายตัวอย่างมหาศาลมากกว่า partner รายอื่นๆ ก่อนหน้าที่ Google เคยสร้างพันธมิตรไว้
มันทำให้ Google ได้เงินทุกครั้งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์คลิกบนโฆษณา ที่มันแสดงขึ้นบนผลการค้นหา และมันถูกทำงานแบบอัตโนมัติ โดยระบบการประมูลออนไลน์ ซึ่งมันทำให้ Google มั่นใจได้ว่า จะได้รับราคาที่ดีที่สุดอยู่เสมอ และสร้างกระแสเงินสดปริมาณมหาศาลให้ Google มากขึ้นเรื่อย ๆ
มันได้ทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกมากมาย ทั้งระบบทำงานแบบอัตโนมัติ หรือ การเกิดขึ้นของเหล่านักการตลาดมืออาชีพ ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญการทำการตลาดผ่าน Google หรือ เหล่านักสร้าง Content ให้ติดอันดับการค้นหาใน Google ในผลการค้นหาแรก ๆ
แต่อย่างไรก็ดีนั้น การประมูลราคาที่สูงสุด ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะทำให้โฆษณาขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของผลการค้นหา Google นั้นจะพิจารณา เรื่องความน่าสนใจของโฆษณาเป็นอีกปัจจัยด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ราคาประมูลที่สูงที่สุดเท่านั้น มันทำให้เหล่านักโฆษณาต้องมีการปรับปรุงโฆษณาให้ดึงดูดผู้ใช้งานให้มาคลิกให้มากที่สุด
การได้ทั้ง Yahoo , AOL , EarthLink และ Ask Jeeves มาเป็นหุ้นส่วนนั้น ทำให้อิทธิพลของ Google ต่อโลกอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น และกลายเป็นที่รู้จักมากที่สุด ซึ่งผลจากการกลายเป็นโปรแกรมหลักในเครือข่ายการค้นหาเหล่านี้ สุดท้ายก็ทำให้ผู้คนรู้จัก Google มากยิ่งขึ้น กลายเป็นเครือข่ายผลิตเงินให้ Google ในที่สุด
และมันส่งผลให้ฐานะทางการเงินของ Google เติบโตขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ ในปี 2002 นั้น Google สร้างรายได้ 440 ล้านเหรียญ และสามารถทำกำไรได้ถึงกว่า 100 ล้านเหรียญ ซึ่งกำไรทั้งหมดมันมาจากการที่ผู้ใช้คลิกข้อความโฆษณาที่วางอยู่ทางขวาในหน้ารายงานผลการค้นหาบน Google.com
มันทำให้ บริน เพจ และ เอริก ชมิดต์ สามารถจะผลักดันให้ Google เติบโตได้อย่างเต็มที่ พวกเขาแทบจะปิดปากเงียบสนิท เกี่ยวกับตัวเลขทางการเงินเพื่อไม่ให้คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Microsoft และ Yahoo รู้ว่าการค้นข้อมูลออนไลน์และธุรกิจการโฆษณาของตนนั้นทำกำไรได้มหาศาลขนาดไหน ซึ่งกว่าที่เหล่ายักษ์ใหญ่เหล่านี้จะรู้เท่าทัน Google ก็ได้พัฒนาบริการของตนเองจน ยากที่คู่แข่งจะตามทันเสียแล้ว
การเป็นผู้ริเริ่มทำเป็นคนแรก และการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอเมริกาของ Google มันได้ย้ายเงินโฆษณาที่เดิมต้องจ่ายให้สื่อเก่า ๆ อย่าง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ และ นิตยสาร มายังอินเทอร์เน็ตแทน และตอนนี้ บริษัทซึ่งตั้งเป้าหมายแรกเพียงแค่ต้องการเป็นผู้สนองการค้นข้อมูลเพียงอย่างเดียวอย่าง Google ได้ก้าวขึ้นมาท้าทายอำนาจของบริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ต ผ่านการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตได้สำเร็จแล้ว
แล้วเหล่ายักษ์ใหญ่ จะรู้ตัวเมื่อไหร่ ว่าพวกเขากำลังถูกแย่งชิงเค้กเม็ดเงินโฆษณาทางออนไลน์จำนวนมหาศาลที่ Google ดึงมาได้สำเร็จ และจะตอบโต้กับ การเติบโตที่รวดเร็วของ Google ได้อย่างไร Google จะทะยานไปทางไหนต่อ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม
ส่วน google นั้นเริ่มที่จนหนทางต้องหาทางสร้างรายได้ให้เร็วที่สุด จึงได้เริ่มพัฒนาแบบจำลองการโฆษณาของตัวเองในชื่อ Adwords ซึ่งใกล้เคียงกับแนวความคิดของ บิลล์ กรอสส์ โดยเปิดตัวในเดือนกันยายนปี 2000
และนี่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของ google เลยก็ว่าได้ วิธีการดังกล่าวนั้น ได้กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้โฆษณา ถึงตอนนี้ โปรแกรมค้นหาของ Google นั้นทำตลาดแทบจะตลอด 24 ชั่วโมงในทุก ๆ วัน มันมีคำหรือ วลีนับล้านคำ ที่ผู้คนกำลังค้นหา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าและบริการแทบจะทั้งสิ้น ตัวอย่างชื่อสินค้าประจำวันเช่น “Pet food” อาจจะมีราคาประมํูลที่ถูก กว่า คำอย่าง “Investment Advice” ซึ่งเป็นกลไกของตลาดในเรื่องราคาที่ผู้ลงโฆษณายินดีที่จะจ่ายเพื่อให้โฆษณาของตนได้ปรากฏเมื่อมีคนค้นหาคำ ๆ นั้นบน Google
มันทำให้ Google ได้เงินทุกครั้งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์คลิกบนโฆษณา ที่มันแสดงขึ้นบนผลการค้นหา และมันถูกทำงานแบบอัตโนมัติ โดยระบบการประมูลออนไลน์ ซึ่งมันทำให้ Google มั่นใจได้ว่า จะได้รับราคาที่ดีที่สุดอยู่เสมอ และสร้างกระแสเงินสดปริมาณมหาศาลให้ Google มากขึ้นเรื่อย ๆ
มันได้ทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกมากมาย ทั้งระบบทำงานแบบอัตโนมัติ หรือ การเกิดขึ้นของเหล่านักการตลาดมืออาชีพ ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญการทำการตลาดผ่าน Google หรือ เหล่านักสร้าง Content ให้ติดอันดับการค้นหาใน Google ในผลการค้นหาแรก ๆ
ดูเหมือนว่า ตอนนี้ google ได้ค้นพบเครื่องจักรทำเงิน ที่จะพา google ทะยานไปอีกระดับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ปัญหาเรื่องเงิน คงจะไม่ใช่ปัญหาหลักของ google อีกต่อไป แม้จะดูเหมือนรายได้ 20 ล้านเหรียญเศษ ๆ นี้จะเป็นตัวเลขน้อยนิดกับรายได้ของ google ในปี 2000 เมื่อเทียบกับ Microsoft
ส่วน Microsoft นั้น ดูเหมือนจะภูมิใจกับ MSN เว๊บไซต์ portal หลัก ที่เป็นที่นิยมของผู้คนทั่วโลก ซึ่งแทบจะไม่ชายตามาสนใจโปรแกรมค้นหาเลยด้วยซ้ำ ต้องเรียกว่าตอนนี้ google พร้อมจะพลิกบริษัทให้กลายมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่แบบที่เหล่ายักษ์ใหญ่ทั้งหลายแทบจะไม่รู้ตัวแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับ google และ Microsoft จะหันมาสนใจ Search Engine เมื่อไหร่ โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม