ปฏิวัติวงการเกษตรกรรมด้วย Agrobot

 

เมื่อนำหุ่นยนต์มาเก็บผลสตรอเบอร์รี่

ในภาคการเกษตรนั้น สตรอเบอร์รี่เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงและการขาดแคลนแรงงานเก็บสตรอเบอร์รี่ก็ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต ทำให้ไม่สามารถที่จะผลิตได้ตามความต้องการของตลาดที่มีปริมาณสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรป

บริษัทจำนวนหนึ่งจึงเริ่มพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับการแก้ปัญหานี้ขึ้นมา หนึ่งในนั้นคือบริษัท Agrobot จากประเทศสเปนซึ่งได้พัฒนาหุ่นยนต์เก็บสตรอบเอร์รี่มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีแล้ว หุ่นยนต์รุ่นล่าสุดของ Agrobot มีกล้องและเซ็นเซอร์ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลแบบภาพสามมิติได้ ซึ่งใช้กล้องที่มีความละเอียดสูง ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมาก

ด้วยกลไกด้านฮาร์ดแวร์ นั้น จะมีตัวซอฟท์แวร์คอยทำการระบุตำแหน่ง ตำแหน่งและสีของลูกสตรอเบอร์รี่ทีละลูก ก่อนจะตัดสินใจเก็บลูกสตรอเบอร์รี่ที่มีความสุกพอดีโดยแขนกลจะทำการตัดลูกสตรอเบอร์รี่เป้าหมายออกจากต้นโดยจับเฉพาะส่วนก้านผลและไม่สัมผัสกับตัวลูกเลย ลูกสตรอเบอร์รี่ที่เก็บได้จึงไม่มีการบอบช้ำ ซึ่งการคำนวนที่แม่นยำ ผ่าน ซอฟท์แวร์ และ ฮาร์ดแวร์กล้องที่มีความละเอียดสูงนี้ สามารถทำงานได้ดีกว่าใช้แรงงานมนุษย์จริงมาคอยเก็บ ซึ่งมี % บอบช้ำของ สตรอเบอร์รี่สูงกว่าหุ่นยนต์ อย่างมีนัยยะ สำคัญ

หุ่นยนต์เก็บสตรอเบอร์รี่ของ Agrobot ได้เริ่มทดลองใช้ในแปลงปลูกสตรอเบอร์รี่ในรัฐแคลิฟอร์เนียของบริษัท Driscoll ผู้ผลิตสตรอเบอร์รี่รายใหญ่จากสหรัฐอเมริกามาระยะหนึ่งแล้ว บริษัทประมาณการณ์ว่าการใช้หุ่นยนต์เก็บสตรอเบอร์รี่จะช่วยลดต้นทุนแรงงานได้ราว 15%และที่สำคัญคือช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเก็บสตรอเบอร์รี่ได้อย่างยั่งยืน

สำหรับ Agrobot นั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำเอา หุ่นยนต์ มาช่วยเหลือ เกษตรกร ในการเก็บผลผลิต ให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น จากเดิมที่ใช้แรงงานคน ซึ่งมีแนวโน้ม ที่จะขาดแคลนไปเรื่อย ๆ การนำ หุ่นยนต์ มาช่วยนั้น ต้องถือว่าเป็นผลประโยชน์กับเกษตรกรอย่างดียิ่ง แม้ตัวอย่างของ Agrobot จะเป็นเพียงหุ่นยนต์ เก็บ สตรอเบอร์รี่ แต่ คาดว่าในอนาคต คงสามารถนำไปพัฒนาต่อ ในผลผลิตอื่นๆ  ได้อย่างแน่นอน

Robot กับการแก้ปัญหาภาคเกษตรไทย?

ลองคิดถึง ปัญหา ผลผลิตภาคการเกษตรในไทย ที่มีมานานแสนนาน การใช้นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล มาช่วยเหลือโอบอุ้ม เหล่าเกษตรกรนั้น เป็นเพียงการเยียวยา เกษตรกรในระยะสั้น ๆ เท่านั้น และมีแนวโน้ม ที่จะเสียงบประมาณส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย  ๆ  และแก้ปัญหาไม่จบสิ้นซักที

การวิจัย เรื่องหุ่นยนต์ นี้น่าจะเป็นแนวทางหนึ่ง ที่น่าสนใจ ที่จะมาช่วยยกระดับ คุณภาพชีวิต ของ เกษตรกรไทยเราได้ หากมีการทุ่มเท งบวิจัย ให้กับนักวิจัยที่มีอยุ่มากมายในประเทศเรา คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ และแก้ปัญหา ปากท้องของเกษตรกรไทย อย่างเป็นรูปธรรมได้ซักที ไม่ต้องมาแก้ปัญหาแบบขอไปที เหมือนในอดีตอีกต่อไป

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

การใช้เทคโนโลยี VR ช่วยศัลแพทย์ผ่าตัดสมอง

เมื่อศัลยแพทย์วางแผนในการผ่าตัดสมองของผู้ป่วยนั้น การใช้ เทคโนโลยี VR หรือ Virtual Reality ผ่านการ Render 3D ทำให้การวางแผนผ่าตัดนั้นทำได้ง่ายขึ้น

ซึ่ง เทคโนโลยี VR นี้ถูกเรียกว่า SNAP (The Surgical navigation advance platform) ซึ่งถูกพัฒนาโดย บริษัท Surgical Theater
โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นการ รวบรวมภาพจาก 2D MRI และ CT Scan เพื่อทำการสร้าง 3D Model ของสมองคนไข้

โดยศัลยแพทย์สามารถที่จะ สำรวจส่วนต่าง ๆ ของสมองผ่าน แว่น VR ของคนไข้ได้จริง ๆ

ซึ่ง สำหรับคนไข้แล้วนั้น เทคโนโลยี VR เหล่านี้ จะช่วยให้ สามารถอธิบายสิ่งที่ซับซ้อนภายในสมองคนไข้ ให้คนไข้สามารถเข้าใจได้อย่างเห็นภาพ และเข้าใจถึงกระบวนการในการผ่าตัดของหมอได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

เทคโนโลยี VR ยังช่วยให้ ศัลยแพทย์ สามารถทดสอบ การผ่าตัดในแนวทางต่าง ๆ ได้ โดยการทดลองผ่าน VR และยังช่วยเลือกวิธีการที่ดีที่สุดในการผ่าตัดสมอง เพื่อลดความผิดพลาดให้มากที่สุด และเป็นประโยชน์ที่สุดกับคนไข้

จากการใช้งาน ผลิตภัณฑ์นี้ ของศัลย์แพทย์ชั้นนำพบว่า สามารถที่จะช่วยเหลือในการผ่าตัดให้เร็วขึ้น และ ง่ายขึ้น ลดความผิดพลาดกับคนไข้ได้จริง ๆ ผ่านการทดลองกับคนไข้จริง ๆ มาแล้ว

ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี รวมถึงเครื่องมือเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาช่วยเหลือแพทย์ในการทำงาน ทั้งทางด้านการวิเคราะห์โรค หรือ ช่วยเหลือในการผ่าตัดอย่างการใช้ VR ของ SNAP

โดยเทคโนโลยีเหล่านี้นั้นจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในอนาคตในการช่วยเหลือแพทย์ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญนั้นยังเป็นการลดการสูญเสียจากการผ่าตัดแบบเดิม ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะ VR นั้นสามารถทำให้แพทย์ได้ทดลองกับชิ้นส่วนร่างกายที่เหมือนของจริงมากที่สุด ก่อนที่จะลงมือทำการผ่าตัดจริง ซึ่งหากเป็นในอดีตนั้นคงไม่สามารถทำอย่างนี้ได้แน่นอน ซึ่งสุดท้าย การร่วมมือกันระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทีมีประสิทธิภาพนั้น ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการลดความสูญเสียที่ไม่จำเป็นอีกต่อไปนั่นเอง

หุ่นยนต์ ช่วยในการขนส่ง “Cassie”

Featured Video Play Icon

เจ้า “Cassie” หุ่นยนต์ 2 ขา ที่สามารถที่จะ เดินและวิ่งได้เหมือนมนุษย์ เป็นอนาคตที่จะปฏิวัติวงการโลจิสติก

เมื่อเจ้าหุ่นตัวนี้สามารถส่งสินค้าให้กับท่านได้ถึงหน้าบ้าน
โดยเจ้า “Cassie” นั้น ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดย Robotics Lab ที่มหาวิทยาลัย Oregon State University

โดยเทคโนโลยีทั้งหมดนั้นได้ถูกพัฒนาขึ้นภายใน Lab ดังกล่าวทั้งหมด และมีเป้าหมายที่จะจำหน่ายเจ้า “Cassie” จำนวน 6 ตัวไปยัง
มหาลัยอื่น ๆ ทั่วสหรัฐ เพื่อทำการวิจัยต่อ

สำหรับ ราคาค่าตัวของเจ้า “Cassie” นั้น ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ 300,000 เหรียญสหรัฐ

โดยที่รุ่นใหม่ ๆ ของ “Cassie” นั้น
ได้ Design ให้มีขนาดที่เล็กลง และมีสีสันเพิ่มมากขึ้น เพื่อลบภาพหุ่นยนต์ ที่น่ากลัว ที่หนัง ฮอลลีวู้ด มักกล่าวถึง

นวัตกรรมจอพับ กับ Game Changer ของ Samsung ในตลาดมือถือ

ตลาดโทรศัพท์มือถือโลก เริ่มอิ่มตัวมาซักพักแล้ว เราไม่ได้เห็น นวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาเลย ไม่ว่าจะทั้งฝั่ง Android หรือ Iphone ตลาดตอนนี้เป็นการแข่งขันเพียงแค่ การยัดสเป๊คทางด้าน Hardware ไม่ว่าจะเป็น CPU , GPU หรือ คุณสมบัติของกล้องเองก็ตาม แต่ไม่ได้ถือว่ามีนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาเป็นเวลานานแล้ว

แต่แล้ว ในงานประชุมนักพัฒนาประจำปีของ Samsung Developers conference (SDC) ประจำปี 2018 ทาง samsung ได้มีการเปิดตัวหน้าจอพับได้ Infinity Flex Display และ อินเตอร์เฟซ One UI ที่จะนำมาใช้กับ สมาร์ทโฟน หน้าจอพับได้ของ Samsung รวมถึง อุปกรณ์ อื่น ๆ ของ Samsung ด้วย

ต้องขอชมงานด้ายวิจัย ของ Samsung ที่ได้ทุ่มเททรัพยากร และ ทุ่มเทเงินไปเป็นจำนวนมาก ในการ วิจัย และพัฒนา อะไรใหม่ ๆ มาให้เราเห็นเสมอ เมื่อสถานการณ์ ของ Samsung ในตลาดมือถือในตอนนี้ก็ไม่สู้ดีนัก การก้าวตามมาติด ๆ ของมือถือจากจีน ที่ มาแย่งตลาด Samsung ไปเป็นอย่างมาก

ทางเดียวที่จะฉีกหนีคู่แข็ง ที่กำลัง รุมสกรัม Samsung   ในตลาดมือถือ ได้คือ นวัตกรรมเท่านั้น และInfinity Flex Display ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพือฉีกหนีคู่แข่งของ Samsung เพราะ การแข่งขันทางด้าน Hardware นั้นใกล้จะถึงจุด ที่ไม่สามาถแข่งขันกันได้แล้ว เพราะความแตกต่างแทบจะไม่มี ในตลาดมือถือยุคปัจจุบันการฉีกหนี ด้วยการสร้างนวัตกรรมใหม่ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วของ Samsung

จอพับได้ Infinity Flex Display

Infinity Flex Display

Infinity Flex Display

ต้องถือว่า มีข่าวมาอย่างยาวนาน สำหรับ มือถือจอพับได้ ซึ่งคิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องง่ายในการพัฒนาอย่างที่ samsung ทำได้ในขณะนี้ ซึ่งเป็นข้อดีในการฉีกหนีคู่แข่ง Android อื่น ๆ ไม่ให้ไล่ตามทันได้ง่าย ๆ แม้กระทั่ง Iphone เอง หาก Infinity Flex display เกิดขึ้นมา ทำให้มีโอกาสสูงที่จะมาแย่งส่วนแบ่งตลาด จาก ผู้ใช้ Iphone ได้ เพราะตอนนี้ เป็นเรื่องยากที่จะไปแย่งฐานลูกค้าจาก Iphone หากแข่งขันกันที่กล้อง หรือ Spec ทางด้าน Hardware เท่านั้น

โดยตัว Infinity Flex Display นั้น เป็นแผงหน้าจอแบบ OLED ขนาด 7.3 นิ้ว ที่จะได้รับการติดตั้งเป็ ฟีเจอร์หลัก โดยมีความสามารถที่จะพับในแนวตั้งได้ เพื่อให้ใช้งานบนหน้าจอขนาดใหญ่ และสามารถพับเก็บได้อย่างสะดวก

ซึ่งจะมาในมือถือรุ่นใหม่อย่าง Samsung Galaxy X เรียกได้ว่า ชนกับ Apple โดยตรง

โดยมือถือรุ่นใหม่นี้ จะออกแบบโดย Techconfigurations โดยจะสามารถกางออก ให้กลายเป็น Tablet ได้ โดยจะมาพร้อมหน้าจอปรกติขนาด 5 นิ้ว แต่เมื่อกางออก จะแปลงร่างกายเป็น แท็ปเล็ต ขนาดหน้าจอที่ 7 นิ้ว ความละเอียดระดับ 4K และมีความบางเพียง 3.25 mm เท่านั้น

อินเตอร์เฟซ One UI

อินเตอร์เฟซ One UI

อินเตอร์เฟซ One UI

ในส่วนของ การใช้งานนั้น สามารทโฟน Galaxy X จะได้รับการติดตั้ง อินเตอร์เฟซ One UI  โดยเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง Samsung กับ Google เพื่อออกแบบ อินเตอร์เฟซ แบบใหม่ ให้จัดวาง application อยู่ที่พื้นที่ด้านล่างของหน้าจอแทน เพื่อความสะดวกในการใช้งาน  โดยสามารถที่จะใช้งานโดยใช้มือเดียวได้

และเมื่อ กางหน้าจอออกในโหมด แท็ปเล็ตนั้น จะปรับเปลี่ยนการแสดงผลในรูปแบบของ แท็ปเลต  โดยใช้พื้นที่เต็มหน้าจอขนาด 7.3 นิ้ว และสามารถแสดงการทำงานของ app ได้สูงสุดถึง 3 ตัวพร้อมกันอีกด้วย

Game Changer ของ Samsung ในตลาดมือถือโลก

Samsung Game Changer

Samsung Game Changer

ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ตอนนี้นั้น ยอดขายของ samsung แทบจะไม่กระเตื้องมานานมากแล้ว การมีคู่แข่งจากจีนที่ตามมาติด ๆ และตีในทุกตลาดเดิมของ Samsung ไม่ว่า ตลาด High End ตอนนี้ Huawei ก็สามารถตี samsung ได้สำเร็จ ด้วยการร่วมพัฒนากล้องกับ Leica ทำให้เสียส่วนแบ่งการตลาดไปเป็นจำนวนมาก

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในตลาดล่างลงมา ตอนนี้ Samsung แทบจะไม่มีที่ยืน เลยด้วยซ้ำ ด้วยพาเหรด การเข้ามาทำตลาดของ Brand จีน ไม่ว่าจะเป็น Oppo Vivo  xiami  Asus ฯลฯ  กลายเป็นตลาดแดงเดือดไปซะเรียบร้อยแล้ว การแข่งขันทางด้าน Spec นั้น Samsung ไม่สามารถลงมาเล่นได้เหมือนเดิม เพราะ โดยตัดราคาจากกล่มมือถือจีน

ตอนนี้ ทางรอดทางเดียว และ Game Changer ของ Samsung ที่จะกลับมายิ่งใหญ่ในตลาดโทรศัพท์มือถือ ก็เหลือเพียง นวัตกรรมใหม่ ๆ อย่าง นวัตกรรมจอพับ ล่าสุด ที่ใช้เวลาวิจัยมาอย่างยาวนาน เท่านั้น ซึ่งผลจากการทุ่มเทวิจัยครั้งนี้ อาจจะกลับมาชนะในศึกใหญ่ ทั้งจาก Brand จีน รวมถึง ทางฝั่ง Iphone เอง ก็เป็นไปได้ เราก็ต้องดูกระแสตอบรับ ในนวัตกรรมดังกล่าวกันต่อไป ว่าจะชนะใจผู้บริโภคได้หรือไม่

 

นาคี VS โนราห์ กับความต่าง 2 วัฒนธรรม

ไม่ได้มีโอกาส ได้ดูหนังไทย ติด ๆ กัน 2 เรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว หลังจากเข้าสู่ อารยธรรม Netflix อย่างจริงจรัง แม้กระทั่งหนัง Hollywood ก็มีโอกาสได้เข้าโรงหนังน้อยมาก

สบโอกาสที่ คุณพ่อ กับ คุณ แม่ มาทำงาน และ พักผ่อนที่กทม. พอดิบ พอดี จึงได้มีโอกาสได้ชวนไป ดูหนังไทย ทั้งสองเรื่องอย่าง นาคี2 และ โนราห์

และต้องออกตัวก่อนเลยว่า ทั้ง นาคี ภาคละคร รวมถึง หนังเรื่อง เทริด ที่เป็นภาคก่อน โนราห์นั้น ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้ดูเหมือนกัน ก็ไปลุ้นเอาว่า จะดูรู้เรื่องกับเขาหรือไม่ ขอเขียนเปรียบเทียบเป็นหัวข้อ ๆ ไปดังนี้

1.ปริมาณคนดู

ต้องบอกว่า ต่างกันลิบลับ ระหว่างการเข้าไปดูหนัง สองเรื่องนี้ นาคี นั้น คนเต็มโรงไปถึงข้างหน้า ไม่แปลกใจว่า หนังจะทำรายได้ ทะลุ หลายร้อยล้ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถก้าวผ่านบททดสอบ ที่ว่า ละคร ที่มาทำเป็นหนังจะไม่มีคนดูอย่างที่หลาย ๆ เรื่องเคยเจ๊งมาแล้ว เพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่ สามารถดูพระเอก นางเอก ละคร ได้ฟรี  ๆ ทางทีวีอยู่แล้ว นาคี ทำลายกำแพงนี้ได้สำเร็จ และคิดว่า จะมีหนังที่มาจากละคร แบบนี้ออกมาอีกอย่างแน่นอน หากได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยมแบบนี้

ส่วนฝั่งโนราห์ ต้องบอกว่า ตกใจเมื่อเข้าไปในโรง เนื่องจากรถติดและเข้าโรงหนังเลท ไป เข้าไปตอนแรกก็ตกใจ นึกว่าเข้าผิดโรงทำไมไม่มีคน พอดเช็คดี ๆ ก็พบว่า มีคนนั่งดูอยู่ทั้งโรงอยู่ก่อนแล้ว 2 ท่าน เป็นคุณป้ารุ่นใหญ่ รวมกับ ผมและครอบครัว ก็กลายเป็น 5 ท่าน ดูกันเหมือนเป็นโรงหนังส่วนตัวเลยทีเดียว

ข้อแรกให้ นาคี ชนะ ไปแบบไม่เห็นฝุ่น

2. ความสนุกและบทหนัง

ปัญหาใหญ่ของหนังไทย คือ เรื่องบท เพราะส่วนใหญ่ จะมีบทหนังที่ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ มีค่าย GDH เท่านั้น ที่รู้สึกมีการทำการบ้านเรื่องบทของหนังได้ดีกว่าใครเพื่อน แต่สองเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่หนังของค่าย GDH แต่อย่างใด ส่วนของบทนั้น ต้องบอกว่า ให้คะแนนพอ ๆ กัน พอรับได้ ดูได้เรื่อย  ๆ ไม่ถึงกับน่าเบื่ออะไรทั้งสองเรื่อง

แต่ถ้าโดยรวมแล้วนั้น ผมให้ โนราห์ ชนะไปมากกว่า มันดูเหมือนหนังจริง ๆ มากกว่า ส่วนนาคี นั้น แทบจะเหมือนดูละคร มีพระเอก และ นางเอก ดึงดูดเท่านั้น แฟน ๆ ละครน่าจะมาติดตามชมในโรงกันเยอะ โนราห์นั้น ถือว่าเดินเรื่องได้ดีทีเดียว มีการผูกเรื่องกับวัฒนธรรมภาคใต้อย่าง การแสดงมโนราห์ และมีการอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่ ถือว่าไม่น่าเบื่อเลย

ข้อสอง ให้ โนราห์ ชนะ เฉือนหวิว

3. งานโปรดักชั่น

งานโปรดักชั่น ของ นาคี หลายๆ  คนน่าจะพูดถึง ฉากพญานาคฟัดกันตอนท้ายเรื่อง ถือว่าทำ CG มาได้ดีระดับนึงเลยทีเดียว แต่ก็เป็นส่วนที่ดีเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ที่เหลือถ่ายทำกันในหมู่บ้าน แทบไม่มีอะไรเลย ส่วน โนราห์ นั้นมาแบบจัดเต็ม ทั้ง CG ที่สอดแทรกมาแทบทั้งเรื่อง รวมถึง งาน Production อื่น ๆ ทั้งเสียง ภาพ ที่ดูแล้ว พิถีพิถัน ในการทำมากกว่า นาคีเยอะ

ส่วนนี้คิดว่า น่าจะมาจากต้นทุน พระเอก และ นางเอก ของ นาคี ก็น่าจะมากอยู่แล้ว ส่วน โนราห์นั้น เน้นใช้นักแสดงหน้าใหม่ ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ถือว่า แสดงได้ดีเลยทีเดียว รวมถึง คุณ เอกชัย ศรีวิชัย ผู้สร้างและผู้กำกับ ก็โดดลงมาเล่นเองด้วย คือ โนราห์ งานโปรดักชั่น เป็นระดับหนังมากกว่า นาคี ซึ่งดูไปคล้าย ๆ เรากำลังดูละครซะมากกว่า

ข้อสาม ผมให้ โนราห์ ชนะไปอีกยก

สรุป

หลังจากใช้เวลาในการดูหนังทั้งสองเรื่องในเวลาไม่ห่างกันมากนัก โดยส่วนตัวนั้น ชอบ โนราห์ มากกว่า นาคี ซึ่งทั้งสองเรื่องนั้น ได้มีโอกาสดู โดยไม่ได้รู้เนื้อเรื่องก่อนหน้ามาก่อนเหมือนกัน ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกันที่ หนังอย่าง โนราห์ มีผู้คนสนใจเพียงน้อยนิด อาจจะเป็นเพราะเรื่องการโปรโมตหนังด้วยส่วนนึง รวมถึง การที่นาคี เคยเป็นละครยอดฮิตมาก่อนก็อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รายได้ทุละเป้าไปหลายร้อยล้านแล้วในขณะนี้

แต่ก็ถือเป็นแนวโน้มที่ดีของหนังไทย ที่มีการทำหนังเฉพาะกลุ่มขึ้นมามากขึ้น เจาะฐานคนดูกลุ่มย่อยมากยิ่งขึ้น  ซึ่งทำให้เราได้มีโอกาสได้ดูหนังไทยแนวใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น หลังจากช่วงหลังมีเพียง หนังผี และ หนังตลก เท่านั้น ที่จะสามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำสำหรับหนังไทย

นาคี โนราห์ ความแตกต่างของสองวัฒนธรรม

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องราวเน้นวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละภาคอย่างชัดเจน นาคีนั้นก็คือ การกล่าวเล่าถึงตำนานพญานาค ทางริมฝั่งแม้น้ำโขง ที่ก็ยังเป็นวัฒนธรรมประเพณี ที่สืบทอดกันมาแต่ยาวนาน ของชาวอีสาน ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ มาจวบจนทุกวันนี้ ผ่านประเพณีบุญบั้งไฟพญานาค ที่กลายเป้นงานประเพณี ดึงดูด นักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก

ส่วน โนราห์ นั้นชัดเจนว่าเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวใต้ คือ เล่าถึงประวัติของการแสดงมโนราห์ ที่เป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะภาคใต้เท่านั้น การอ้างอิงประวัติศาสตร์ จากหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ความเป็นมาของ การแสดงมโนราห์ ผ่านตัวบทหนัง ที่ถือว่าทำได้ดีพอสมควร

เราได้เห็นภาษาท้องถิ่นจากหนังทั้งสองเรื่อง ซึ่งนาน ๆ ครั้งที่จะมีโอกาสได้ดูติด ๆ กันแบบนี้ ถึงแม้ จะเป็นหนังที่ไม่ได้โปรดักชัน อลังการแบบ หนังฮอลลีวูด แต่ก็ถือไม่ได้น่าผิดหวังแต่อย่างใด ที่มีโอกาสได้ดูหนังทั้งสองเรื่องนี้ อยากให้ช่วยกันสนับสนุนหนังไทย เพื่อให้เราได้เห็นหนังแปลกใหม่ออกมาบ้าง ไม่ใช่ ได้ดูเพียงแค่ หนังผี  , หนังตลก รวมถึง หนังจากเจ้าพ่อ Feel Good อย่าง GDH เหมือนที่ผ่านมา