A GAME OF COINS ศึกชิงมหาบัลลังก์ Cryptocurrency

ต้องบอกว่ากระแสของ cryptocurrency นั้นค่อนข้างที่จะมาแรงข้ามปีกันเลยทีเดียว หลาย ๆ คนอาจจะมองอยู่แบบห่าง ๆ ว่าจะลงทุนกับ cryptocurrency ดีหรือไม่ หลาย ๆ คนก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มีความเสี่ยงแค่ไหน ได้ยินได้ฟังแต่ข่าวที่มูลค่า bitcoin พุ่งสูงขึ้นทะยานไปเรื่อย ๆ แล้วตอนนี้ยังไม่สายไปใช่ไหม ที่จะลงทุนใน cryptocurrency อาจจะเคยได้ยินชื่อ BitconCash , Ripple , LiteCoin , Ethereum …  ทำไมมันมีหลายตัว แล้วลงทุนในตัวไหนดี

หลังจากทีได้เขียน blog ที่เกี่ยวกับ cryptocurrency คือ ใครคือ Satoshi Nakamoto เค้าสร้าง Bitcoin มาเพื่ออะไร?  ก็ต้องบอกว่าตัวผมเองได้รับคำถามจากเพื่อนฝูง พี่น้อง มามากมายเลยทีเดียวเกี่ยวกับ Bitcoin หรือ cryptocurrency ตัวอื่น ๆ ต้องบอกว่าไม่สายไปสำหรับนักลงทุนทุกคนที่จะเข้ามาสู่วงการ cryptocurrency เพราะแม้ตัวที่เด่นอย่าง Bitcoin นั้นจะมีความผันผวนเพียงใดก็ตาม แต่ก็ต้องบอกว่า ณ ตอนนี้มูลค่ายังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีตัวอื่น ๆ ให้เลือกเล่นอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Bitcoin Cash ,  Litecoin , Ripple หรือ Bitcoin Gold ก็ตาม ยิ่งโดยเฉพาะสาย trade ซึ่งสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และ ขาลง นั้นก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับการทำการเก็งกำไรกับ cryptocurrency แต่ละตัว ซึ่ง  blog นี้จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาในรูปแบบ Series ดังอย่าง Game of Thrones

Bitcoin / House of Stark

สกุลเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายที่เข้ามามีอำนาจอยู่จนถึงปัจจุบัน Ned Stark นั้นคล้ายคลึงกับ Satoshi Nakamoto ที่หายไปหลังจากการเปิดตัว Bitcoin; แต่มรดกของเขายังมีชีวิตอยู่ Bitcoin กำลังแข่งขันกับเหรียญอื่น ๆ เพื่อทำตลาดมูลค่าสูงสุด

Ethereum / Daenerys:

Ethereum  เหมือน Daenerys ที่เชื่อในการเจรจาที่กับผู้คนที่เป็นประโยชน์กับตนและต้องการที่จะนำเอาศูนย์กลางของระบบเดิม ๆ ออกไป นอกจากนี้เช่นเดียวกับ Daenerys ที่ได้ตั้งพันธมิตรทางยุทธศาสตร์บางอย่างสำหรับการสงคราม ซึ่ง Ethereum ก็ได้สร้างพันธมิตรที่ชาญ ฉลาดกับผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเหมือนกัน

Bitcoin Cash / Cersei Lannister:

ต้องการจะทำลาย Bitcoin และอ้างว่าเป็นทายาท Crypto โดยชอบธรรมของ Satoshi Nakamoto ใช้กลยุทธ์ในการระดมราคาเพื่อมาแทนที่ Bitcoin ฉลาดแกมโกงและมีความทะเยอทะยานมาก

Litecoin / Jon Snow:

กำเนิดมาจาก blockchain ของ Bitcoin ผ่านทาง software fork ซึ่ง Litecoin ได้พลิกกลับมาจากการลดลงของมูลค่าที่ต่ำที่สุดในช่วงเดือนกันยายน 2017 กลับมายืนอยู่ในมูลค่าในระดับ All-time-high ได้อีกครั้ง เชื่อกันว่าเปรียบเสมือน Bicoin’s Silver  หรือ มือขวาของ Bitcoin (Ned Stark) และมาพร้อมกับรูปแบบการทำธุรกรรมที่รวดเร็วดั่งดาบของ Jon Snow

Monero / Arya Stark:

เป็นเหรียญที่มีคุณลักษณะไร้ตัวตน และมีต้นกำเนิดที่มีความลับคล้ายกับ House of Black & White เป็นสกุลเงินกบฏเช่นเดียวกับ Arya ที่ปฏิเสธความคิดที่ว่าธุรกรรมจะต้องมีการเปิดเผย มีความภูมิใจในความปลอดภัยของตัวเองและไม่สามารถที่จะติดตามร่องรอยการทำธุรกรรมได้

Zcash / Varys:

เป็นเหรียญที่เรียกได้ว่า สุดยอดในเรื่องความลับ ไม่มีใครสามารถควบคุมหรือถือครองส่วนใหญ่ของสกุลเงินได้ เป็น decentralized network และเป็นโอเพนซอร์สที่มีความเป็นส่วนตัวและความโปร่งใสในการทำธุรกรรมผ่านทางเครือข่ายลับ

Ripple / Jaime Lannister:

เช่นเดียวกับ Jaime Lannister  RIPPLE  เป็นผู้เล่นในตลาดที่น่าเกรงขาม แต่ไม่ชอบในโลกของ crypto ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นมาตรฐาน crypto และไม่มีองค์ประกอบในการทำเหมือง RIPPLE เป็นศูนย์กลางและทำหน้าที่คล้ายสถาบันการเงิน เป็นขั้วตรงกันข้ามของ Bitcoin

Blockstack / Tyrion Lannister:

Tyrion เชื่อมั่นในเรื่องของความปรองดองเน้นการเจรจาเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม รักความสงบ เช่นเดียวกับ Blockstack เชื่อมั่นใน “อินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่ที่เป็นรูปแบบ decentralized ซึ่งผู้ใช้จะเป็นเจ้าของข้อมูลของตนเอง” Blockstack ใช้ความระมัดระวังใน ICO เช่นเดียวกับ Tyrion ระมัดระวังในแผนการยุทธศาสตร์ของเขา

Bitcoin Gold / Stannis Baratheon:

มีความเชื่อว่าเหรียญของตนเองนั้นเป็น Bitcoin ที่แท้จริง แต่ยังดูเหมือนว่ายังเป็นเพียงลัทธิเล็ก ๆ ของสาวกที่ยังเชื่อมั่นในเรี่องดังกล่าว

IOTA / Baelish:

เก่งในการโน้มน้าวผู้คนโดยใช้กลยุทธ์ทางสื่อ IOTA นั้นอ้างว่ามีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์บางอย่างซึ่งไม่มีตัวตน เช่นเดียวกับ Baelish   โดย IOTA นั้นใช้เทคนิค FOMO (fear of missing out) เพื่อรับสิ่งที่ต้องการจากเหล่าบรรดาสาวก

Cardano / Samwell Tarly:

แพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นจากปรัชญาทางวิทยาศาสตร์และแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยเป็นหลัก ทีมประกอบด้วยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัย เช่นเดียวกับแซม ซึ่งมันค่อนข้างจะเป็น crypto ในสายวิชาการซะมากกว่า

Tezos / The Hound

ด้วยมูลค่ารวมที่สูงถึง 232 ล้านเหรียญ ทำให้มีการทะเลาะกันในทีมภายในของ TEZOS ซึ่งยังไม่มีแนวโน้มในขณะนี้ว่า TEZOS นั้นจะประสบความสำเร็จใน crypto currency หรือไม่ แต่ก็ถือว่ายังพอมีโอกาสสำหรับ TEZOS ที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของ crypto-history

NEO / Dragons: 

รู้จักกันในนาม “Chinese Ethereum”   NEO ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำกำไรได้สูงถึง 400%   แต่ก็ยังไม่เห็นว่า NEO จะอยู่เฉกเช่นมังกรที่ยังมีชีวิตอยู่ของ Daenery หรือ จะเป็นมังกรที่จะยอมจำนนต่อ White Walkers เราก็ต้องดูกันต่อไป

Regulators / White Walkers:

ต้องบอกว่าขณะนี้ cryptocurrency นั้นยังไม่มีการกำกับดูแลอย่างชัดเจน แต่ “Winter is comming” ซึ่งก็เหมือนกับ whitewalker ที่กำลังคืบคลานเข้ามาเพื่อกำกับดูแลเหล่า cryptocurrency เหล่านี้ ซึ่งการต่อสู้กับการห้ามและจัดการกับสกุลเงินที่ใช้ crypto เหล่านี้นั้น หน่วยงานกำกับดูแลบางแห่งก็ได้เริ่มออกไปจัดการเพื่อนำทุกอย่างกลับสู่โลกของสกุลเงินปรกติบ้างแล้ว แต่ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าอนาคตของ cryptocurrency ต่าง ๆ นั้นจะเป็นอย่างไรจะถูกกำกับดูแลอย่างเด็ดขาดได้หรือไม่ หรือปล่อยให้อยู่อีกโลกหนึ่งแบบปัจจุบัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ในขณะนี้ แต่ที่รู้ในตอนนี้นั้น cryptocurrency กำลังอยู่ในความสนใจของเหล่านักลงทุนต่าง ๆ ทั่วโลก ที่กำลังจับตามองว่าจะทำกำไรได้อย่างไรกับเหล่า cryptocurrency ทั้งหลายเหล่านี้

Reference : medium.com/@alisheikh

มุมมองที่แตกต่างอย่างสุดขั้วต่อ Cryptocurrency

ถ้าเราได้เห็นข่าวที่มีต่อ cryptocurrency ชื่อดังอย่าง Bitcoin ในช่วงที่ผ่านมานั้น เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงมีความเห็นออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจนระหว่างฝั่งสายการเงินการลงทุน กับ ฝั่งสายเทคโนโลยี ที่มีมุมมองตรงข้ามกันอย่างชัดเจน  ซึ่งเมื่อเรามาไล่เรียงดู timeline ของข่าวในช่วงปีที่ผ่านมาจะพบว่า

มุมมองที่แตกต่างอย่างสุดขั้วของเหล่า influences สายการเงิน และ เหล่า influences สาย technology ผ่านการพาดหัวข่าวจากสื่อต่าง ๆ 

1.สายการเงิน

2.สาย Technology

เราเห็นอะไรในข่าวที่ได้จากเหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งสายการเงิน และ สายเทคโนโลยี จะเห็นได้ว่ามุมมองต่อ cryptocurrency ของฝั่งการเงินนั้นมองในแง่ลบเกือบแทบจะทั้งหมด น้อยคนนักที่จะกล่าวถึง bitcoin หรือ cryptocurrency ในด้านบวก แม้กระทั่งนักวิชาการชาวไทยเองก็ตามหลาย ๆ ท่านถ้าติดตามด้านความเห็น ที่ส่วนใหญ่จะเป็นความเห็นจากนักวิชาการทางด้านการเงินหรือนักเศรษฐศาสตร์นั้นจะมอง bitcoin ในด้านลบอยู่เสมอ แต่ทำไมฝั่ง technology กลับมองเป็นด้านบวกล่ะ

ต้องบอกว่าความซับซ้อนของระบบการเงินโลกนั้นที่มีการเชื่อมโยงกัน และการอ้างอิงมูลค่าต่าง ๆ ที่สายการเงินกล่าวอ้างกันนั้น เป็นทฤษฏีที่ใช้กันมาเนิ่นนานกว่า 100 ปีแล้ว และทฤษฏีเหล่านี้ ก็ถูกถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่นผ่านตำราเรียนต่าง ๆ ที่แทบจะเหมือนกันทั่วโลก แล้วเมื่อมีคนคิดระบบใหม่อย่าง cryptocurrency ขึ้นมาก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่าผู้มีอิทธิพล หรือ นักวิชาการด้านการเงินการลงทุนนั้นจะกล่าวถึงเรื่องนี้คล้าย ๆ กัน และเป็นคำพูดที่ซ้ำ ๆ กันเช่น ฟองสบู่ เสี่ยงโชค ฟอกเงิน ว่างเปล่า ไม่มีมูลค่าอะไรเลย

จะเห็นได้ว่าหลาย ๆ ข่าว เราก็ได้ยินคำซ้ำ ๆ กันเพราะพวกเขาเหล่านี้นั้นมองรูปแบบของเทคโนโลยีทางด้านการเงินใหม่เหล่านี้ แทบจะเหมือนกันซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นความเห็นที่น่ารับฟัง เพราะ สุดท้ายแล้วคนเหล่านี้ก็ยังมีอิทธิพลต่อโลกการเงินการลงทุนของเราอยู่ดี ไม่ว่าเทคโนโลยีของโลกเรานั้นจะก้าวไกลไปขนาดไหนก็ตาม

ต่างจากสาย technology ที่เติบโตมากับนวัตกรรมอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่มีแนวทางที่่สนับสนุนนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่ตลอดไม่เว้นแม้แต่นวัตกรรมทางด้านการเงินอย่าง cryptocurrency ซึ่งเหล่าคนสายเทคโนโลยีนั้น เข้าใจถึง concept ต่างๆ ของ cryptocurrency ได้เร็วกว่าฝั่งสายการเงินเป็นส่วนมากอยู่แล้ว เพราะมันเกิดจากนวัตกรรมทางด้าน it และกลุ่มผู้สร้างกลุ่มแรก ๆ นั้นเป็นคนฝั่ง it ซะเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นคนทางฝั่งเทคโนโลยีหรือ IT นั้นมองนวัตกรรมเหล่านี้ในแง่บวก

เพราะนวัตกรรมหลาย ๆ อย่างจากฝั่ง it ในช่วงไม่กี่ปีมานั้นเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็น มือถือ , social network , search engine สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มี impact ต่อการดำรงชีวิตของเราเป็นอย่างมากโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ซึ่ง หลาย ๆ คนจากฝั่งเทคโนโลยี ก็น่าจะมองเห็นอนาคตของ cryptocurrency ไม่ต่างกันว่าจะมาปฏิวัติระบบการเงิน และปรับรูปแบบการเงินที่มีมายาวนานกว่า 100 ปี ของมนุษย์เราได้อีกครั้งหนึ่ง แต่มันจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่นั้น เราก็ต้องมาดูกันต่อไปครับผม

Reference Image : images.readwrite.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol