Failed Startup Stories : Beepi Secondary Online Marketplace for cars

Beepi เป็นบริษัที่ให้บริการสำหรับซื้อขายรถมือสองผ่านระบบ online โดยมีที่ตั้งอยู่ใน Mountain View , California ซึ่งสามารถทำ Transaction ในการซื้อขายได้ผ่านทาง smart phone หรือ desktop pc โดยเริ่มให้บริการในเดือนเมษายน ในปี 2014

โดยรูปแบบบริการของ Beepi ผ่าน model การหารายได้แบบง่าย ๆ โดยคิดค่า commission สูงสุดที่ 9%  และหากรถขายไม่ได้ภายใน 30 วันนั้น ทาง Beepi จะเป็นคนซื้อไว้เอง โดยที่ผู้ซื้อนั้นไม่ต้องทำการทดสอบรถใด ๆ ก่อนซื้อ ซึ่ง Beepi ให้เวลา 10 วันในการรับประกันสามารถคืนได้ โดย Beepi เปิดทางเลือกให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้ผ่านบริการใหม่ ๆ เช่น bitcoin รวมถึง credit card โดยในปี 2016 นั้นบริษัทก็ได้ประกาศให้บริการด้านสินเชื่อรถยนต์ของตัวเองเพื่อให้ผู้ซื้อสามารถซื้อได้ง่ายที่สุดผ่านระบบ Beepi

ประวัติของ Beepi

Beepi นั้นก่อตั้งโดย Ale Resnik โดยรับตำแหน่ง CEO และ Owen Savir ที่รับตำแหน่ง COO ของบริษัท โดยก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายนในปี 2014  ในตอนแรกนั้นจะให้บริการเฉพาะพื้นที่ในบริเวณ Sanfrancisco เท่านั้น ซึ่งแรงบรรดาลใจในการสร้าง Beepi นั้นเกิดมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Resnik ที่ได้รับประสบการณ์ที่แย่มากในการซื้อรถมือสองในขณะเรียนที่ MIT

Beepi นั้นสามารถระดมทุนในรอบ Series A ในเดือนเมษายนปี 2014 ได้ถึง ห้าล้านเหรียญสหรัฐ โดย Jeff Brody จาก Redpoint Ventures รวมถึง angle investors ของอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยี และการเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้บริษัทได้รับเงินลงทุนใน Series B ถึง 60 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนตุลาคม ปี 2014 ทำให้มูลค่าของบริษัทพุ่งขึ้นไปสูงถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐภายในเวลาเพียง 6 เดือนหลังจากเริ่มปล่อย product version แรกออกสู่ตลาด ซึ่งในตอนนั้นคาดการณ์ว่าจะมีรายได้ถึง 15 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้เริ่มทำการขยายบริการไปยังเมือง Los Angeles รวมถึง San Diego

ในเดือนเมษายน ปี 2015 หลังจากบริษัทดำเนินการมาได้ 1 ปีก็ได้ไปเปิด office ที่เมือง Phoenix เป็นเมืองแรกนอกรัฐ California ที่มี office เป็นของตัวเอง ซึ่งในขณะนั้นผู้คนกว่า 200 เมืองสามารถใช้งาน Beepi ได้แล้ว แต่บริการ free delivery นั้นจะให้บริการเฉพาะใน California และ Arizona เท่านั้น

ในเดือน พฤษภาคมปี 2015 นั้น Resnik ได้บอกกับ the wall street journal ว่าเขาคาดหวังจะได้รับการลงทุนมากกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้มูลค่าของบริษัทพุ่งสูงไปถึง สองพันล้านเหรียญ หลังจากการดำเนินงานบริษัทมาได้แค่ปีเศษ  และ ในเดือน ตุลาคม ปี 201ุ6 นั้น Beepi ได้รับเงินลงทุนอีกรอบจาก SAIC Motor บริษัทยักษใหญ่ทางด้าน automobile market ของประเทศจีน

แต่บริษัทก็เริ่มมีผลงานต่ำลงโดยในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2016 นั้น ยอดขายของ Beepi เหลือเพียง 153 คันต่อเดือน สำหรับเมืองหลักที่เป็นจุดเริ่มต้นอย่าง California ในขณะที่คู่แข่งที่ให้บริการลักษณะเดียวกันนั้นขายได้กว่า 8,500 คันต่อเดือน

หลังจากนั้น Beepi ก็ต้องเร่งปรับเกมสู้ในตลาดรถมือสอง โดยการปิดจุดอ่อนของตัวเองคือไม่มีบริการด้านสินเชื่อเป็นของตัวเอง  โดยการจับมือกับ Ally Financial เพื่อให้บริการด้านสินเชื่อแก่ลูกค้าของ Beepi

สุดท้ายก็ต้องปิดบริการ

หลังจากมีปัญหาเรื่องเงินลงทุนจากจีนในเดือนธันวาคมปี 2016 Beepi ก็เริ่มเข้าสู่ความยากลำบาก จากบริการของตัวเอง ที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้ เนื่องจากปัญหาหลาย ๆ อย่าง ทั้งเกิดจากความไม่เต็มใจของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายที่จะมาทำการขายผ่าน E-commerce โดยที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน รวมถึงภาระในการที่ต้องเก็บรถไว้เองหากขายไม่ได้ภายใน 30 วันนั้น ก็เป็นปัจจัยหลัก เพราะรถเป็นสินทรัพย์ที่มีแต่มูลค่าจะลดลงไม่เหมือนบ้านหรือที่ดิน การเก็บ stock ไว้เองนั้น แม้จะเรียกลูกค้าได้ในตอนแรกเพราะสามารถการันตีว่าถ้าขายไม่ได้ Beepi จะซื้อไว้เอง แต่ไม่สามารถยืนได้ในระยะยาว เนื่องมาจากปัจจัยเรื่องมูลค่าของรถที่มีแต่จะลดลงนั่นเอง การคิด idea แบบ Beepi นั้นไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาภายหลังอย่างรอบคอบ คิดแค่จะสร้างฐานลูกค้าเพื่อไปรับเงินลงทุนเพิ่มเติม แต่มันไม่สามารถที่จะทำให้กลายเป็นธุรกิจจริง ๆ ได้ เมื่อพ้นช่วงของการระดมทุน ก็เกิดปัญหา เพราะภาระค่าใช้จ่ายที่สูง สุดท้ายก็ได้เริ่มปิดกิจการนอกเขต California และเริ่มหาทางขายกิจการให้กับคู่แข่งอย่าง Shift และทำการปลดพนักงานกว่า 180 คน และเริ่มต้นกระบวนการในการควบรวมกับ Fair.com  แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2017 การควบรวมกับ Fair.com ก็ต้องล้มลง  และบริษัทก็ต้องเริ่มขายสินทรัพย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการปิดกิจการอย่างถาวร

สรุป

ปัญหาของ Beepi เราสามารถวิเคราะห์ได้มาจากปัจจัยหลัก ๆ คือ idea ที่มันคิดได้ง่ายมาก ในการเก็บรถไว้เองหากขายไม่ได้ใน 30 วัน ซึ่งมันเป็นแรงจูงใจง่าย ๆ ให้คนเข้ามาใช้บริการ เพราะคนก็อยากการันตีว่าขายรถได้อย่างแน่นอน ซึ่ง idea นี้นั้นสุดท้ายก็มาทำร้ายบริษัทเอง เพราะต้องแบกรับต้นทุนในการจัดการทั้ง stock รวมถึงมูลค่าของรถ ที่มีแต่จะลดลง ในตอนแรกอาจจะหานักลงทุนมาลงเงินได้ง่าย เพราะ กิจการ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในแง่ของ ยอดผู้ใช้งาน หรือ ยอดการซื้อขายในระบบ แต่สุดท้ายเมื่อไม่สามารถหาเงินมาต่อยอดได้อีกก็ต้องพบสัจธรรมที่แท้จริงว่า idea ลักษณะนี้ไม่สามารถมาทำให้เป็นกิจการที่สร้างรายได้ รวมถึงกำไรให้กับบริษัทแบบถาวรได้ จึงใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึง 3 ปีก็ต้องปิจกิจการลงไปในที่สุด

References :  en.wikipedia.orgblog.caranddriver.com

Chatbots กับวิวัฒนาการของธนาคารในยุคใหม่

ในยุคของ digital revolution นั้นได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์เราไปอย่างมาก โดยเฉพาะในวงการด้านการเงินนั้นจะยิ่งมีการปฏิวัติที่รวดเร็วขึ้น รูปแบบการบริการแบบเก่า ๆ กำลังจะหมด การไปกดคิวเพื่อรอทำรายการที่สาขานั้น เราได้ใช้รูปแบบนี้มานานกว่าร้อยปีมาแล้ว

ในวันนี้เราแทบจะไม่ต้องเดินเข้าไปในธนาคารอีกแล้ว เราสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งหลายผ่านระบบ internet ได้หมด โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ยุคของ mobile ทุกธนาคารมี mobile apps ของตัวเองเพื่อแย่งดึงลูกค้าไปใช้บริการให้ได้มากที่สุด โดยแข่งกันให้สามารถใช้บริการง่ายที่สุด และสะดวกรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับการบริการแบบเดิมที่ต้องไปต่อคิวทำรายการที่ธนาคาร

แทบทุกธนาคาร มี application มือถือของตัวเอง

แทบทุกธนาคาร มี application มือถือของตัวเอง

ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้ถูกยืนยันโดย การศึกษาของ Deloitte’s  ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกค้าธนาคารในยุคใหม่ (Reshaping the retail banking experience)  ซึ่งงานวิจัยนี้ได้บอกถึงความต้องการของลูกค้าในยุคหน้าได้อย่างดี ลูกค้าจะเลิกใช้บริการเก่า ๆ ที่เคยมีมานับร้อยปีอย่างการไปนั่งรอคิวในธนาคาร ซึ่งความรวดเร็วในการบริการเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าคนรุ่นใหม่ ที่เติบโตมาในยุคของ digital revolution

เหล่าสถาบันการเงินต้องมีการปรับตัวอย่างยกใหญ่ โดยต้องปรับรูปแบบการบริการให้ทันใจกับลูกค้ายุคใหม่ แม้ว่าพนักงานบริการที่สาขายังจำเป็นในการให้ข้อมูลต่าง ๆ กับลูกค้าอยู่ ซึ่งก็เป็นส่วนสำคัญที่สุดอย่างนึงในการโปรโมตผลิตภัณฑ์ของธนาคาร แต่จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนั้น การขายผลิตภัณฑ์ของธนาคารนั้นมีลักษณะ hard sell กันเกินไป

การพยายามยัดเยียดขายประกันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ลูกค้าเบื่อหน่าย

การพยายามยัดเยียดขายประกันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ลูกค้าเบื่อหน่าย

บางบริการอาจจะถูกยัดเยียดเข้ามาให้กับลูกค้า ซึ่งบางอย่างไม่ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่อย่างใด ซึ่งเนื่องจากนโยบายของธนาคารในปัจจุบันที่หันมาขายบริการเช่นประกันชีวิต หรือ กองทุนต่าง ๆ กันมากขึ้น ทำให้ลูกค้าหลาย ๆ คนไม่สะดวกใจที่จะเข้าไปใช้บริการที่สาขา

ซึ่งน่าจะมีหลายเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าเริ่มเบื่อหน่าย อย่างนึงคือ ศิลปะในการขายของพนักงานบริการตามสาขานั้น หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้รับการ train มาอย่างถูกต้อง แต่ถูกกดดันจากยอดขาย ซึ่งความจริงแล้วเมื่อก่อนบริการในธนาคารไม่ได้เป็นในลักษณะนี้ แต่ตอนนี้ทุก bank ต่างมุ่งหารายได้จากทุกทางที่เป็นไปได้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งในอนาคตนั้น chatbots น่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญช่วยเหลือด้านบริการเหล่านี้ได้

Chatbots – ก้าวแรกสู่การเป็น smart customer service

หนึ่งในความสำคัญหลักของการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อธนาคารนั้นคือ ทางธนาคารต้องรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์ขั้นสูง ซึ่งต้องใช้เทคนิคของ Machine Learning ในการเรียนรู้ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมต่อธนาคาร

ซึ่งการที่จะใช้คนมาทำงานดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าแต่ละราย แต่หากเป็น Bots หรือ Machine นั้นสามารถที่จะเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็วกว่าพนักงานที่เป็นมนุษย์เป็นอย่างมาก

ซึ่งปัจจุบันนั้นได้มีหลาย ๆ ธนาคารนำ Chatbots มาเริ่มให้บริการกับลูกค้า โดยเฉพาะในการเริ่มต้นสนทนากับลูกค้า รวมถึงบริการในระดับเริ่มต้นอย่าง การเปิดบัญชีธนาคาร การรับรองความถูกต้องของข้อมูล  การยกเลิกบัตรเครดิต รวมถึงงานที่น่าเบื่ออื่น ๆ ที่ Chatbots นั้นสามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์

Chatbots แตกต่างจากระบบเดิม ๆ อย่างไร?

ปัจจุบันนั้น การใช้งาน online banking นั้น ประกอบไปด้วย forms มากมาย ที่ลูกค้าต้องกรอกข้อมูลเข้าไป ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับลูกค้าทั่วไปที่ต้องมาใช้บริการ ซึ่งบริการ online เหล่านี้ก็ยังคงต้องมีส่วนของ online support เพื่อมาคอยตอบปัญหาการใช้งานเหล่านี้

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรยกเลิกแบบฟอร์ม วุ่นวายเหล่านี้เสียที

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรยกเลิกแบบฟอร์ม วุ่นวายเหล่านี้เสียที

ซึ่งการกรอกแบบฟอร์มที่ยาวนานนั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและน่ารำคาญสำหรับลูกค้า มักมีข้อมูลที่ใส่ไม่ถูกต้องเสมอ ซึ่งบางข้อมูลเราก็ไม่รู้ว่าต้องใส่ค่าอะไรเข้าไปในฟอร์มต่าง ๆ ของธนาคาร ซึ่งตรงกันข้ามกับ chatbots ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบอัติโนมัติ และสามารถที่จะดึงข้อมูลที่จำเป็นของลูกค้าออกมาได้

โดยลูกค้าไม่จำเป็นต้องไปกรอกข้อมูลให้วุ่นวาย ซึ่งนอกเหนือจากการบริการช่วยเหลือเรื่องปรกติแล้วนั้น chatbots ยังสามารถช่วยป้อนข้อมูลให้ลูกค้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยปรับรูปแบบการใช้งานลูกค้าให้เข้าถึงการบริการธนาคารให้ง่ายขึ้นกว่ารูปแบบ online form เดิม ๆ ของธนาคาร

การก้าวเป็น Conversational banking อย่างแท้จริง

การตอบโต้แบบอัติโนมัตินั้นเป็นความสำคัญลำดับต้น ๆ ของยุค Digital Banking ซึ่งเมื่อธนาคารส่วนใหญ่นั้นสามารถปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้แบบอัติโนมัติผ่าน Chatbots ซึ่งรูปแบบของ concept การปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าแบบอัติโนมัติโดยใช้ Chatbots ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่สำคัญอย่าง AI หรือ Artificial Intelligence ซึ่งรูปแบบเหล่านี้นั้นสามารถที่จะทำให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมมาก โดยที่ไม่ต้องไปกรอกแบบฟอร์มที่ยุ่งยากเหมือนในอดีต

ซึ่งการพัฒนาของ Chatbots ในปัจจุบันนั้นสามารถที่จะนำมาใช้งานได้ง่าย รองรับการใช้งานหลายภาษา และช่วยเหลือในการ support แบบ real-time ซึ่งธนาคารสามารถกำหนด FAQ (Frequency Ask Questions) เข้าไปใน chatbots script ได้โดยง่าย ซึ่งปัจจุบันมี tools ที่ใช้งานง่าย ๆ อย่าง Botdesk 

Botdesk ตัวอย่างของ Chatbot Platform

Botdesk ตัวอย่างของ Chatbot Platform

ซึ่งหลาย ๆ platform ด้านการบริการ chatbots ในปัจจุบันนั้นอนุญาติให้สามารถเขียนโปรแกรมเบื้องต้นเข้าไปกำหนดคำตอบได้ในหลาย ๆ รูปแบบตามต้องการได้ ซึ่งบาง platform ของ chatbots นั้นนำเสนอรูปแบบของ template bots ที่สามารถกำหนดรูปแบบบทสนทนาได้อย่างง่ายดาย เช่น Snatchbot platform ที่มีบริการในเรื่องของรูปแบบ template bots ที่มีความสามารถในการบริการในเรื่องการกู้ยืมเงิน หรือ การสมัครบริการบัตรเครดิตได้

ประโยชน์อื่นๆ ของ Chatbot

  • สามารถ support ได้แบบ real-time ในทุกวันหรือทุกเวลา ซึ่งการที่จะใช้มนุษย์ปรกตินั้น bank ต้องลงทุนอย่างน้อย 4 คนต่อหนึ่งวันเพื่อให้สามารถรับการ support ทั้งวันได้ รวมถึงต้องมีภาระในการจ่ายค่าล่วงเวลาเพิ่มขึ้นอีกเพราะเป็นเวลาที่ไม่ใช่เวลางานแบบปรกติ
  • สามารถที่จะรองรับการบริการของธนาคารได้หลายช่องทาง เช่น website  , app , social media หรือ messenging apps
  • สามารถให้ข้อมูลที่ update ล่าสุดให้กับลูกค้าได้ ซึ่ง chatbots นั้นสามารถที่จะเลือกบริการทีเหมาะสมกับลูกค้าได้ โดยอาศัยพื้นฐานจากข้อมูลในระหว่างการสนทนากับลูกค้า และสามารถประมวลผลข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว
  • ธนาคารสามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ผ่าน chatbots แทนที่จะได้รับข้อมูลข้างเดียวเหมือนบริการบน internet banking
  • ความง่ายและความคุ้มค่าในการลงทุนในการสร้าง chatbots ซึ่งปัจจุบันมีหลาย platform ที่เป็นระบบสำเร็จรูปที่ให้สามารถเลือกใช้ได้ รวมถึงบางบริการก็สามารถใช้งานได้ฟรี โดยมีเงื่อนไขที่จำกัด

Chatbot กำลังถูกนำมาใช้จริง

หลาย ๆ ธนาคารในอเมริการนั้นเริ่มที่นำ chatbots เข้ามาใช้จริงกับลูกค้าแล้ว

  • Bank of America  ไม่นานมานี้ธนาคาได้ทำการปล่อย chatbots ตัวแรกในชื่อ “Erica”  ที่ช่วยเหลือในการจัดการเรื่องหนี้ของลูกค้า และสามารถช่วยลูกค้าประหยัดเงินได้มากขึ้น
  • JPMorgan Chase แทนที่จะทำการปล่อย chatbots ออกมาให้ลูกค้าใช้งานจริง แต่ JPMorgan นั้นนำ chatbots มาใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบหลังบ้านของธนาคารแทน ซึ่งในปีเดียวนั้น  สามารถลดการทำงานไปได้ถึง 360,000 work hours ของพนักงาน
  • Capital One ได้เริ่มทำการปล่อย chatbots ซึ่งมีชื่อว่า “Eno” ช่วยคอยตอบคำถามลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับ ประวัติการชำระเงิน หรือ วงเงินของเครดิตการ์ด
  • American Express สำหรับ AmEx นั้นคิดต่างโดยใช้ Facebook Messenger bot เพื่อมาช่วยเหลือการใช้งานของลูกค้า ซึ่ง bots สามารถส่งการแจ้งเตือนเรื่องการชำระเงินได้แบบ real-time ผ่าน notification ของ mobile รวมถึงช่วยเหลือในการ link บัตรเครดิตเข้ากับ facebook account เพื่อให้สามารถใช้ระบบ in-app purchases ได้

จะเห็นได้ว่าการใช้ AI หรือ Artificial Intelligence ในอุตสาหกรรมด้านการเงินการธนาคารนั้น สามารถพัฒนาไปได้อีกไกล ตามความสามารถของ chatbots รวมถึง technology ทางด้าน machine learning ที่ก้าวหน้าขึ้นไปทุกวัน

ซึ่งการสร้าง chatbots นั้นถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับธนาคารในทุกขนาด ทั้งธนาคารขนาดใหญ่ ที่อาจจะมีกำลังในการพัฒนา Chatbots ของตัวเองรวมไปถึงธนาคารขนาดเล็กที่สามารถอาศัย Platform ต่าง ๆ ที่มีให้บริการอยู่มาปรับใช้กับธนาคารได้ โดยอาจจะใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มากนัก

ซึ่ง Chatbots นั้นจะเป็นบทบาทสำคัญของธนาคารที่จะคอยช่วยเหลือลูกค้า และคอยบริการลูกค้า อย่างเป็นมิตรเพราะเหล่า bots ทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอารมณ์ สามารถทำงานได้ตลอดทุกวัน 24 ชั่วโมงโดยไม่มีเหน็ดเหนื่อย  เหมือนกับมนุษย์อย่างเรานั่นเอง

 

References :  www.singularityweblog.com , veloxcore.com

China’s AI Awakening การเติบโตอย่างเฟื่องฟูของ AI ในประเทศจีน

ที่เกาะไหหนาน ประเทศจีน ได้มีการแข่งขัน Poker Tournament ขึ้น  โดย AI ที่มีชื่อว่า “Lengpudshi”  สามารถเอาชนะผู้เล่นได้มากมายใน tournament นี้ จนถูกขนานนามว่า “Cold poker master” ซึ่ง การพัฒนา Lengpudshi นั้นมีใช้เทคนิคของ artificial-intelligence และ Machine Learning

การแข่งขันนี้จัดขึ้นในเขต technology park ของเมือง Haikou  เมืองหลวงของเกาะไหหนาน ซึ่งมีผู้เล่นมากหน้าหลายตา ทั้ง แชมป์ poker  , เหล่านักลงทุนชาวจีน รวมถึง ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ไปจนถึงกระทั่ง CeOs ผู้ซึ่งชื่นชอบการเล่นไพ่ Poker ซึ่งได้มีการถ่ายทอดสด online  และมีผู้ชมกว่าล้านคน ซึ่งงานนี้แสดงให้เห็นถึง สัญลักษณ์ ของความกระตือรือร้นในการสร้างปัญญาประดิษฐ์ในประเทศจีน

แต่ Lengpudshi AI ที่สามารถเอาชนะผู้เล่นมากมายในการแข่งขันครั้งนี้ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในประเทศจีน แต่กลับถูกสร้างขึ้นในเมือง Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกา

ขณะที่กระแสของเทคโนโลยีทางด้าน AI ซึ่งกำลังมีบทบาทอยู่ในทั่วโลกนั้น จีนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ  กำลังดำเนินการในการสร้างและพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทางรัฐบาลของจีนได้ทำการเทเงินกว่า หนึ่งแสนล้านหยวน หรือ ประมาณ หนึ่งหมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในเทคโนโลยีดังกล่าว

ขณะที่ภาคเอกชนของจีน ก็ทำการลงทุนขนาดใหญ่กับ AI เทคโนโลยีของอนาคต ซึ่งถ้าหากความพยายามดังกล่าวของจีนประสบความสำเร็จนั้น และขณะนี้ก็มีสัญญาณหลายอย่างที่ปรากฏว่าจีน จะกลายเป็นผู้นำด้าน AI ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งก็จะทำให้สามารถเพิ่ม productivity ของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของจีน ซึ่งปัจจุบันจีน แทบจะกลายเป็นโรงงานของโลกเรา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี และยังมีโอกาสที่จะสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชนของจีนก็เชื่อว่า AI นั้นจะเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตในอนาคตอย่างแน่นอน ซึ่งความสำเร็จของจีนในด้านนี้นั้น จะช่วยเสริมสร้างฐานะทางเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในระดับโลก

ซึ่งผู้นำทางการเมืองของจีน และ ผู้นำภาคธุรกิจของจีน ก็ต่างรู้กันดีว่า AI นั้น จะเป็นส่วนสำคัญในการก้าวข้ามผ่านทศวรรษใหม่ของจีน หลังจาก ผ่านยุคของการผลิต และ การปฏิรูประบบตลาดให้เสรีของประเทศจีน ซึ่งการส่งเสริมการค้าและการลงทุนของประเทศจีนนั้น ก็ทำให้ผู้คนหลายร้อยล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน จนสามารถสร้างอาณาจักรทางธุรกิจ รวมถึงยังช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมจีนได้

และเนื่องมาจากในปัจจุบันนั้น ภาคการผลิตของจีนเริ่มที่จะชะลอตัว และ ประเทศกำลังมองไปสู่อนาคต ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง  ซึ่งการนำเอา AI หรือ ระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยนั้นอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนในยุคต่อไป ในขณะที่โลกตะวันตกมองว่า AI นั้นจะเข้ามาแย่งงานคน จีนกลับมองในทางตรงกันข้าม จากความมุ่งมั่นของรัฐบาลว่าจะให้จีนสามารถพัฒนา AI ได้เทียบเท่าเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตกภายในสามปี โดยให้เหล่านักวิจัยทางด้าน AI ของจีนนั้น ทำการวิจัย AI ที่จะสร้างความเปลี่ยนเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ ภายในปี 2025 และ ภายในปี 2030 นั้นโลกจะต้องตกตะลึงกับเทคโนโลยีทางด้าน AI ของจีน

ซึ่งสิ่งที่กล่าวนั้นมีปัจจัยสนับสนุนที่ดีที่จะทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริงได้ ในช่วงต้นปี 2000 นั้น จีนเคยกล่าวไว้ว่าต้องการสร้างเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง เพื่อที่จะกระตุ้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยี และ เป็นการปรับปรุงระบบขนส่งของประเทศครั้งยิ่งใหญ่ ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าจีน ที่แทบจะยังไม่มีเทคโนโลยีทางด้านรถไฟความเร็วสูงจะทำได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า จีนเป็นประเทศที่มีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ยาวที่สุดในโลกไปแล้ว ซึ่ง Andrew Ng ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเป็นผู้ดูแล ยุทธศาสตร์ทางด้าน AI ของบริษัท online ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Baidu ได้กล่าวเอาไว้ว่า “นี่เป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับทุกคนว่าสิ่งเหล่านี้กำลังจะเกิดขึ้นได้”

ซึ่งการเข้ามา action ของรัฐบาลจีนนั้นจะเป็นตัวเร่งที่จะทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริงได้เร็วขึ้น  ซึ่งบริษัทด้านเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของจีน ที่นำโดย Baidu , Alibaba และ Tencent นั้นกำลังจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และมีการลงทุนในการสร้างศูนย์วิจัยใหม่ ๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับบริษัทางตะวันตกอย่าง Amazon , Google หรือ Microsoft และยังมีแหล่งเงินทุนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างนับไม่ถ้วน เนื่องจาก ผู้ประกอบการและนักลงทุนต่าง ๆ ในจีนนั้น มองว่า AI เป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ประเทศจีนนั้นมีข้อได้เปรียบบางอย่างในเทคโนโลยีด้าน AI  ประเทศจีนมีวิศวกร และ นักวิทยาศาสตร์ ที่มีพรสวรรค์มากมาย นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยข้อมูลที่สำคัญในการ Train ระบบ AI เนื่องจากข้อมูลมหาศาลผ่านระบบ internet ในจีนโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง  3 คือ Baidu , Alibaba และ Tencent ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ ที่ไม่มีในประเทศอื่นอย่างแน่นอน ซึ่งเราจะเห็นได้จากการเติบโตของระบบจดจำใบหน้าผ่าน Machine Learning ซึ่งตอนนี้จีนนั้นสามารถ implement ที่จะให้สามารถระบุตัวตนพนักงาน รวมถึงลูกค้าในร้านค้า และทำการยืนยันตัวตนผ่าน mobile apps ได้สำเร็จแล้ว

ความสนใจจากทั่วประเทศในการแข่งขันไพ่ poker ที่ไห่หนาน สะท้อนให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของประเทศจีนต่อการค้นพบนวัตกรรมใหม่ทางด้าน AI เนื่องจาก poker นั้นไม่เหมือนเกมส์อื่นๆ  poker นั้นเล่นกับข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด และความไม่แน่นอน และพฤติกรรมที่ไม่อาจคาดเดาจากฝั่งตรงข้ามได้ ซึ่งกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการที่จะประสบความสำเร็จกับการเล่น Poker นั้นจะต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ  ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่ง่ายเลยที่จะพัฒนา AI ให้เก่งในเกมส์ Poker ซึ่ง “Lengpudashi” นั้นสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้ผู้คนต่างทึ่งในความสามารถของมัน  ซึ่งการพัฒนา AI มาเล่น Poker นั้นยังสามารถไปปรับใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ เช่น การเจรจาทางธุรกิจ หรือ การเจรจาทางด้านการเงิน ที่อาจจะสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้เกิดขึ้นได้

Look East

หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทที่สำคัญของเทคโนโลยีทางด้าน AI ของจีน คือ Kai-Fu Lee ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ เป็นผู้ลงทุนด้านเทคโนโลยี AI ที่สำคัญของประเทศจีน และเป็นหนึ่งในผู้จัดการแข่งขัน poker tournament ขึ้นที่ ไห่หนาน โดยเขาได้มารับสมัครนักศึกษาใหม่ ของสถานบันการศึกษาที่บริษัท Sinovation Ventures ของเขากำลังก่อสร้างขึ้นที่เมืองหลวงของจีนที่ปักกิ่ง

โดย Lee ได้ทำการพูดคุยกับนักเรียนจีนประมาณ 300 คนในหอประชุมใน poker tournament ดังกล่าว โดยการพูดคุยนี้มีความเกี่ยวข้องกับกับเทคโนโลยีทางด้าน AI  ประสิทธิภาพทางด้านการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน รวมถึง อัลกอริธึมใหม่ ๆ ที่แสนฉลาด รวมถึง Big Data ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่าจีนจะสามารถสร้างประโยชน์จากความก้าวหน้าเหล่านี้ได้เต็มที่อย่างแน่นอน

Lee ได้กล่าวไว้ว่า ถึงแม้ว่าในสหรัฐและแคนาดานั้นจะมีนักวิจัยทางด้าน AI ที่ดีที่สุดในโลกก็ตาม แต่จีนก็มีเหล่านักวิจัยหลายร้อยคนที่สามารถที่จะก้าวขึ้นไปสู้นักวิจัยจากตะวันตกได้ ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่า AI นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ดี ที่จะพัฒนาอัลกอริธึมและข้อมูลจำนวนมหาศาลเข้าด้วยกันได้ซึ่งยิ่งมีข้อมูลจำนวนมากเท่าไหร่ในการ Train AI นั้นก็จะทำให้เกิดความแตกต่างได้มากขึ้น

ในปี 1998 นั้น Lee ได้ก่อตั้งห้องวิจัยของบริษัทไมโครซอฟท์ ในกรุงปักกิ่ง จากนั้นในปี 2005 เขาก็ได้กลายเป็นประธานคนแรกของ Google China ซึ่ง Lee มีชื่อเสียงในด้านการให้คำปรึกษาแก่เหล่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และเขามีผู้ติดตามกว่า 50 ล้านคนใน social network ของจีนอย่าง Sina Weibo

ในสถาบันของ Lee หรือที่ Sinovation Ventures ณ กรุง ปักกิ่งนั้น สถานที่ตั้งได้คัดเลือกมาอย่างดี โดยสามารถมองเห็น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง รวมถึง มหาวิทยาลัย Tsinghua ซึ่งเป็นสถานบันการศึกษาชั้นนำของจีนทั้งสองแห่ง Sinovation มีเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับการเรียนรู้ของวิศวกรชาวจีน และยังมีความเชี่ยวชาญในการปรึกษา สำหรับบริษัทในจีนที่หวังจะใช้ AI ในการสร้างความแตกต่างทางด้านธุรกิจ ซึ่ง สถาบันแห่งนี้มีพนักงานเต็มเวลาประมาณ 30 คน และมีแผนที่จะจ้างงานกว่า 100 คนในปีหน้า เพื่อฝึกอบรมให้กับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จำนวนหลายร้อยคนในแต่ละปี โดย 80% ของเงินลงทุนใน Sinovation Ventures นั้นเน้นไปที่เทคโนโลยีด้าน AI ส่วนที่เหลือก็มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีอื่น ๆ รวมถึงเป็นแหล่งบ่มเพาะเหล่า startup หน้าใหม่ของจีนให้อีกด้วย

ซึ่งเป้าหมายใหญ่นั้น ไม่ใช่การคิดค้น new Alphago แต่เป็นการยกระดับบริษัทหลายพันบริษัทในจีนโดยใช้เทคโนโลยีของ AI ซึ่งลีได้กล่าวไว้ว่า ธุรกิจของชาวจีนจำนวนมาก รวมถึง รัฐวิสาหกิจที่มีขนาดใหญ่ กำลังถอยหลังลงคลอง ซึ่งธุรกิจพวกเขาเหล่านั้นไม่มีความชำนาญด้าน AI ซึ่งเทคโนโลยี AI นั้นจะสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ทางด้านธุรกิจให้กับบริษัทเหล่านี้ และสามารถแข่งขันกับบริษัทจากตะวันตกได้

AI Everywhere

ในเมืองหลวงของจีนอย่างปักกิ่งนั้น เราได้เห็นความน่าสนใจหลายอย่างในการใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI เช่นในร้านอาหาร มีเครื่องที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลทางด้านสุขภาพ โดยใช้เพียงแค่รูปภาพ ซึ่งมีบริษัทแห่งหนึ่งในปักกิ่งที่น่าจะกล่าวถึงคือ SenseTime ซึ่งก่อตั้งในปี 2014 โดยกำลังกลายเป็นบริษัทหนึ่งที่จะมีมูลค่ามากที่สุดในโลกในด้าน AI  ซึ่งก่อตั้งโดยนักวิจัยจาก Chinese University of Hong Kong ซึ่ง SenseTime นั้นได้บริการเทคโนโลยี computer-vision ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน ทั้งบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง China Mobile รวมถึงยักษ์ใหญ่ทางด้าน E-commerce อย่าง JD.com  ซึ่งในขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาตลาดใหม่ ๆ เช่น ตลาดยานยนต์  โดยในเดือนกรกฎาคม SenseTime ได้รับเงินลงทุนกว่า 410 ล้านเหรียญ โดยทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงถึง หนึ่งหมื่นห้าพันล้านเหรียญ

Qing Luan ผู้บริหารที่ดูแลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยี Augmented-Reality หรือ AR  ของ SenseTime ซึ่งเคยเป็นคนที่พัฒนา office apps ของ Microsoft ที่สำนักงานใหญ่ของ Microsoft มาก่อน ซึ่งเธอได้กล่าวว่า เธอกลับมาที่ประเทศจีน เพราะดูเหมือนจะมีโอกาสที่ใหญ่กว่ามาก  ซึ่งเธอได้คุยกับเพื่อนเธอที่กำลังทำ startup ในประเทศจีนตอนอยู่ microsoft ว่า เธอกำลังดิ้นรนเพื่อหา users มาใช้งาน app หลายพันคน แต่เพื่อนเธอที่จีนกลับกล่าวว่า  สามารถหา users ผู้ใช้งาน apps หลักล้านคนภายในไม่กี่วันในประเทศจีน  นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เธอได้หันกลับมาทำงานที่จีนกับ SenseTime ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานนั้น วิศวกรของ SenseTime ได้พัฒนาเทคนิคการประมวลผลภาพแบบใหม่เพื่อให้สามารถขจัดหมอกหรือควัน รวมถึงฝน จากภาพได้โดยอัติโนมัติ โดยใช้กล้องถ่ายรูปเพียงตัวเดียว ซึ่งเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ในปีที่แล้วสามารถคว้ารางวัลได้ใน international computer-vision award ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลก

Manufacturing Intelligence

ในโลกตะวันตกนั้น ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลาย ๆ แห่ง เริ่มชะลอการลงทุนใน AI และเริ่มเปลี่ยนแปลการดำเนินธุรกิจของตัวเองใหม่ แต่ในจีนนั้นดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่จะอยากเร่งการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ อุตสาหกรรม และเริ่มลงทุนอย่างหนักในด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่ง Andrew Ng ผู้นำด้าน AI ของ Baidu ยักษ์ใหญ่ทางด้าน internet ของจีนนั้นได้กล่าวไว้ว่า ผู้นำธุรกิจในจีนนั้นเข้าใจดีถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และควรที่จะปรับตัวให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น คนอื่นก็อาจจะมาล้มธุรกิจของพวกเค้าได้

Baidu นั้นได้คาดการณ์ถึงศักยภาพของ AI และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวสร้างธุรกิจใหม่ทั้งหมด โดยในปี 2014 นั้น บริษัทได้สร้าง Lab ในการใช้พัฒนา Deep Learning ในการเรียนรู้ธุรกิจของตนเอง ซึ่งไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น Microsoft ได้พัฒนาระบบที่มีประสิทธิภาพในการจดจำเสียงพูดได้ดีกว่ามนุษย์ ซึ่งหลายคนยังไม่รู้ว่า  Baidu นั้นสามารถพัฒนาเทคโนโลลีดังกล่าวได้ก่อนหน้าแล้ว

สำหรับบริษัททางด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ ของจีนก็กำลังมองหาการพัฒนา AI กับธุรกิจของตนเอง ผู้นำด้าน internet อย่าง Tencent ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองเซินเจิ้นก็เป็นหนึ่งในนั้น

เซินเจิ้นนั้นอยู่ทางใต้ของประเทศจีน ถัดจากฮ่องกง  ซึ่งปี 1980 เมืองแห่งนี้ได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นแห่งแรกของประเทศจีน โดยให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษี และลดหย่อนกฏระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งตอนนี้เมืองเซินเจิ้นแทบจะกลายเป็นโรงงานของโลก ที่เมืองนี้มีการผลิตแทบจะทุกอย่าง ประชากรก็เพิ่มจาก 30,000 คนในปี 1980 จนกลายเป็นกว่า 11 ล้านคนในปัจจุบัน ซึ่งเมืองแห่งนี้ได้สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน และปัจจุบันได้กลายเป็นที่ตั้งของบริษัทระดับโลกหลายบริษัท เช่น Huawei ZTE  รวมถึงบริษัท รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง BYD

สำนักงานใหญ่ของ Tencent นั้นอยู่ในย่าน Nanchan ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งประวัติของ Tencent นั้นต้องย้อนกลับไปในปี 2011 บริษัทได้เปิดตัว application ด้านการส่งข้อความแบบง่าย ๆ ขึ้นซึ่งเลียนแบบจากผลิตภัณฑ์ของอเมริกาอย่าง ICQ และวิวัฒนการกลายมาเป็น WeChat ซึ่งเป็น platform ในโทรศัพท์มือถือ โดยครอบคลุมไปทั้ง social network , messgenging app ข่าว เกมส์ รวมถึงการชำระเงินผ่านมือถือ หรือ e-payment ด้วยจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 889 ล้านราย WeChat จึงได้รับความสนใจอย่างมากในตลาดทางด้าน internet ของประเทศจีน

แม้ว่า Tencent นั้นได้เริ่มทำการสร้างห้องวิจัยทางด้าน AI ไปเมื่อปีที่แล้ว และได้จ้างนักวิจัยเป็นจำนวนมากรวมถึงไปเปิดที่เมืองซีแอตเติลของอเมริกา ซึ่งนักวิจัยของบริษัทได้ทำการคัดลอกนวัตกรรมด้าน AI จากทางฝั่งตะวันตกไปแล้ว รวมถึง Alphago ของ Deepmind ซึ่งห้องปฏิบัติการทางด้าน AI ของ Tencent นั้นนำโดย Tong Zhang ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานให้กับ Baidu รวมถึงเคยเป็นอาจาารย์ที่ Rutgers University โดยนิสัยส่วนตัวแล้วนั้น Tong Zhang จะเป็นคนเงียบ ๆ โดยเขาจะคอยอธิบายว่า AI จะมีส่วนสำคัญต่อแผนการของ Tencent ในการเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกประเทศจีน ซึ่ง AI จะเป็นความสำคัญต่อธุรกิจของ Tencent ในการที่จะขยายธุรกิจไปนอกประเทศ ซึ่ง Tencent นั้นเป็นเจ้าของเกมที่ได้รับความนิยมหลายเกม รวมถึง League of Legends ซึ่งมีผู้เล่นมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก

Thing Big

ปัญหาใหญ่ของทั้งสหรัฐและจีน ที่จะได้เจอคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่า AI นั้นจะเกิดมาเพื่อกำจัดงานบางอย่างออกไปที่ AI สามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการตกงาน ปัญหาเรื่องการว่างงานที่จะเพิ่มขึ้นตามมา แต่ AI ก็มีศักยภาพในการขยายระบบเศรษฐกิจ ด้วยการทำให้หลาย ๆ อุตสาหกรรมนั้นมีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลในการผลิตที่ดีขึ้น จึงทำให้จีนมีความกระหายต่อเทคโนโลยีด้าน AI มากกว่าทางด้านตะวันตก แต่การพัฒนาทางเศรษฐกิจจากเทคโนโลยีของ AI นั้นก็อาจจะเกิดกับประเทศอื่นขึ้นด้วยก็ได้ หากประเทศเหล่านั้นกระตือรือร้นที่จะนำเทคโนโลยีด้าน AI มาใช้อย่างที่จีนทำ

ประเทศจีนนั้นอาจจะมีทรัพยกรจำนวนมหาศาลที่ยังไม่ได้นำมาใช้ แต่ฝั่งตะวันตกนั้นก็มีความเชี่ยวชาญระดับโลก และมีวัฒนธรรมการวิจัยที่แข็งแกร่ง ที่มีมาตั้งแต่อดีตตั้งแต่ยุคสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้โลกเราเปลี่ยนแปลงไปมากจากการวิจัยและพัฒนาของเทคโนโลยีจากฝั่งตะวันตก ซึ่งแทนที่ประเทศตะวันตกจะวิตกกังวลเกี่ยวกับความก้าวหน้าของประเทศจีนนั้น ก็ควรที่จะใช้จุดแข็งของตัวเองในเรื่องการวิจัย รวมถึงการศึกษา ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนของเทคโนโลยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะที่มาจากประเทศจีนได้  ซึ่งบริษัทชั้นแนวหน้าจากตะวันตกอย่าง google หรือ facebook ก็มีการพัฒนาและวิจัยด้าน AI ที่แข็งแกร่งอยู่ แต่ ก็ไม่เพียงพอที่จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมดได้ ซึ่งต่างจากจีน ซึ่ง AI จะให้ผลประโยชน์กับประเทศจีนมากกว่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านการผลิต ที่จีนตอนนี้ก็เปรียบเสมือนโรงงานของโลก ที่จะได้รับผลประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้เหล่านี้มากกว่านั่นเอง

จากเรื่อง Poker tournament ในเมืองไห่หนาน สะท้อนให้เห็นว่าโลกเรานั้นควรที่จะนำแรงบรรดาลใจจาก “Lengpudashi” AI ที่เล่น Poker ชนะผู้คนมากมาย ซึ่งทุกคนก็ควรที่จะตระหนักถึงเทคโนโลยีทางด้าน AI ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เราในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งก็ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศของเราต้องทำตามประเทศจีนที่ภาครัฐรวมถึงภาคเอกชนมองเห็นถึงความสำคัญของ AI ที่กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจ และในที่สุดแล้วนั้นก็เพื่อให้ประเทศของเราสามารถแข่งขันในระดับโลกได้เมื่อโลกเราได้เข้าสู่ยุคของ AI

References : www.technologyreview.com

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol