ฟุตบอลโลกที่ไม่มี Italy

ความทรงจำของผมกับ italy ครั้งแรกสุดคงเป็นฟุตบอลโลกปี 1994 ที่อเมริกา ซึ่งจำได้ตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่มาก ๆ แต่ก็ได้มีโอกาสดูฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศ ระหว่างบราซิล กับ อิตาลี ที่ต้องสู้กันถึงดวลจุดโทษ

จังหวะที่ โรแบร์โต้ บาจโจ้ยิงจุดโทษพลาด ทำให้บราซิล ได้แชมป์ไปนั้น ยังคงตราตรึงใจผมจนถึงทุกวันนี้ เป็นภาพที่ไม่เคยลืมมาตั้งแต่ยังวัยเยาว์

ซึ่งหลังจากนั้น เราก็ได้มีโอกาสเห็น อิตาลีในฟุตบอลรายการใหญ่ๆ อยู่แทบตลอด แทบจะไม่เคยหลุดไปจากฟุตบอลรายการใหญ่ ๆ เลย ซึ่งอิตาลี สามารถก้าวสู้จุดสูงสุดได้ในปี 2006 ที่สามารถกลับมาคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ ด้วยเกมรับที่แข็งแกร่งมาก ๆ ในชุดนั้น สามารถเอาชนะฝรั่งเศษ ที่ช่วงนั้นถือว่าเป็นทีมที่พีค ที่สุดเลยก็ว่าได้ในการดวลจุดโทษ

หลังจากนั้นฟอร์ม อิตาลี ก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตกรอบแรกบ้าง เข้ารอบลึกบ้าง ฟอร์มไม่สม่ำเสมอซักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นสไตล์อิตาลี ขนาดแท้ ที่มักจะ เล่นดีก็เล่นดีไปเลย รายการไหนฟอร์มรูด ก็ตกตั้งแต่รอบแรก แต่ยังไงอิตาลีก็สร้างสีสันให้กับบอลโลกในทุก ๆ ครั้งเสมอ

แต่กับคราวนี้ สำหรับฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซีย งานของอิตาลียากตั้งแต่รอบคัดเลือก ที่มาอยู่กลุ่มเดียวกับทีมแข็งแกร่งอย่าสเปน ซึ่งว่ากันตามตรงว่าตอนนี้ อิตาลี กลายเป็นทีมระดับรองของยุโรปไปแล้ว ไม่ค่อยมีสตาร์หน้าใหม่เกิดขึ้นเท่าที่ควร อันเนื่องมาจากลีคอิตาลี ที่เริ่มเสื่อมความนิยมลงไปเรื่อย ๆ ด้วยน่าจะเป็นเหตุผลนึงที่ทำให้ทีมชาติตกลงอย่างเห็นได้ชัด

แต่สุดท้ายอิตาลีก็เอาตัวรอดสามารถเข้ามาเล่นรอบ play off ได้สำเร็จ โดยมาเจอทีมแกร่งอย่าง สวีเดน ซึ่งตามหน้าเสื่อแล้วนั้น อิตาลีน่าจะผ่านได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่เนื่องจากเกมส์นัดแรกที่เล่นในบ้านของ สวีเดนนั้นแพ้มาอย่างหวุดหวิด 1-0 ทำให้เกมในบ้านต้องเล่นด้วยความกดดัน เพราะไม่สามารถเสมอได้ ต้องเอาชนะอย่างเดียวและต้องยิงมากกว่า 1 ประตูเท่านั้น ซึ่งอิตาลีก็เร่งเกมบุกตั้งแต่นาทีแรก ๆ ซึ่ง สวีเดน ก็รู้อยู่แล้วมาแบบแผนตั้งรับแบบสุด ๆ แทบจะเอารถบัสมาวางหน้าประตู อิตาลี เจาะยังไงก็ไม่สามารถทำประตูได้ สุดท้ายเสมอกันไป 0-0 ทำให้ตกรอบคัดเลือกไปอย่างน่าช้ำใจในที่สุด

Image Ref : skysports.com

การก้าวเข้าสู่ Marketplace ของ Facebook

ต้องบอก facebook ถือได้ว่าเป็นหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ไล่ disrupt ธุรกิจอื่นๆ  มานับไม่ถ้วน ทั้งธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึง สื่อทีวี ก็ล้วนแล้วแต่ต้องเหนื่อยหนักเมื่อมีการเข้ามาของ facebook

ก่อนหน้านี้นั้น facebook focus ไปที่ระบบ live ของตัวเองโดยให้ strategy หลักเป็น video first กับการเกิดขึ้นของระบบ live รวมถึง video ต่าง ๆ ที่ขึ้นมาเต็ม feed facebook ทำให้ผู้ใช้งานแทบจะไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งอื่น ซึ่งทำให้ธุรกิจ tv ได้รับผลกระทบไปพอสมควรกับการเกิดขึ้นของ live ผ่าน facebook นี่ยังไม่รวมถึง youtube ที่แทบจะไม่ต้องกลับมาดูทีวีจริง ๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกเลย

หลังจากระบบ live เริ่มลงตัวและเริ่มทำรายได้ให้กับ facebook  ทาง facebook เองก็ได้เริ่มสู่ธุรกิจใหม่ที่เพิ่งจะเปิดตัวไม่เห็นกันในไม่นานนี้อย่าง marketplace

ซึ่งต้องยอมรับว่า facebook ทำการบ้านมาอย่างดีกับการทำ marketplace ซึ่งเป็นพัฒนาต่อยอดมาจาก group ที่มีการซื้อของ ขายของกันมาก่อนหน้านี้

หลังจากไปได้ดีกับ group ก็ขยายมาสู่ marketplace เพื่อขยายตลาดให้ใหญ่ยิ่งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ก็มักจะซื้อขายของ กันผ่าน social เป็นเรื่องปรกติในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเทศไทย ที่ตลาด social commerce นั้นมีมูลค่ามหาศาลมาก

ก่อนหน้านี้ เราอาจจะใช้งาน ebay หรือในไทยเราก็มี local service อย่าง kaidee ที่เข้ามาทำตลาดและลงทุนไปขนาดใหญ่หลายปีมาแล้ว ซึ่งก็เริ่มคิดสร้าง model เพื่อทำเงินกันบ้างแล้ว โดยใช้ รูปแบบของการ promote ads จ่ายเงินเพื่อให้อันดับขึ้นสู่ด้านบนให้ผู้ใช้งานเห็นก่อน ก็ทำให้มีโอกาสขายของได้ก่อน

รวมถึง shopspot ซึ่งถือว่าเป็น startup ที่มาแล้ว ที่ทำ marketplace เน้นที่ระบบ mobile ซึ่งดูไปดูมา marketplace ของ facebook น่าจะใกล้เคียงกับ shopspot มากที่สุด ซึ่งผลกระทบน่าจะเป็น shopspot ที่น่าจะโดนหนักกว่าเพื่อนหลังจากลงทุนสร้าง platform มานานแสนนาน แต่มาถูกเจ้าใหญ่อย่าง facebook เข้ามาตีตลาดแบบนี้ ซึ่งน่าจะเป็น startup ที่น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

ส่วน kaidee ถึงแม้จะเป็นเจ้าใหญ่ และมีเงินทุนมหาศาล และลงทุนไปเป็นจำนวนมากแล้วนั้น แต่การเข้ามาของ facebook marketplace นั้นต้องบอกว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ในขณะที่ kaidee เริ่มคิด model ในการสร้างรายได้ แต่ facebook นั้นมา concept เดิมคือให้ใช้ฟรีให้ติดก่อน ค่อยลด reach ภายหลังด้วยการจ่ายเงินเหมือนกัน

แต่หากสถานการณ์เป็นอย่างงี้ facebook เพิ่งเริ่มเข้ามาก็ต้องเน้นว่าให้ใช้ฟรีก่อนอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นสถานการณ์ลำบากไม่ใช้น้อยสำหรับ kaidee ซึ่งหากคิดจะกลับไปใช้ฟรีเหมือนเดิมไม่มี ads ก็คงจะคืนทุนที่ลงทุนไปมหาศาลยากมาก ๆ

หากคิดจะสู้กับ facebook ก็คงไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นไปสู้อย่างแน่นอน ทำให้ตลาด maketplace เข้าสู่สมรภูมิแดงเดือดกันอีกครั้ง หลังจากไม่มีคู่แข่งที่จะมาท้าชน kaidee มาอย่างยาวนาน

ตอนนี้ตัวผมเองนั้นก็เริ่มใช้ facebook marketplace ไปแล้วบ้างซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าสามารถขายได้ง่ายกว่าลง kaidee ในยุคนี้เป็นอย่างมาก ซึ่ง kaidee ยุคแรก ๆ นั้นสามารถดับ post ได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่จะมาถูก block ในภายหลัง ทำให้ขายยากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่โฆษณา ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานนั้นต้องย้ายไปยัง marketplace ของ facebook อย่างแน่นอนเพราะมันยังฟรีอยู่

ซึ่งในอนาคต facebook ก็เคยให้บทเรียนกับนักธุรกิจ หลาย ๆ ครั้งแล้ว ทั้ง page ที่ทำการลด reach ลงเรื่อย ๆ จนแทบมองไม่เห็นกันแล้วในยุคนี้ ต้อง boost post กันอย่างเดียวเท่านั้น ถึงจะให้มีคนเห็นได้ ซึ่งก็คงเป็นลักษณะเดียวกันกับ marketplace ซึ่ง facebook คงปล่อยให้คนใช้ติดก่อนอย่างแน่นอนแล้ว ค่อยมาเสียตังค์ภายหลังเหมือนที่ facebook ทำมาทุกครั้ง

ฺBook Review : บันทึกลับเซินเจิ้น

มุมมองสำหรับเมืองเซินเจิ้น ของใครหลาย ๆ คนนั้น อาจจะคิดว่า เป็นเมืองแห่งของ Copy สินค้า Copy ต่าง ๆ ล้วนมาจากเมืองเซินเจิ้น ทั้งอุปกรณ์ อิเล็กโทรนิก รวมไปถึงเครื่องแต่งกาย ก็สามารถหาสินค้า Copy ได้จากเมือง ๆ นี้

สำหรับมุมมองส่วนตัวของผมนั้น ก็คิดว่าเป็นเมืองหนึ่งของจีนที่เน้นทำสินค้าเลียนแบบออกมาขาย ซึ่งหารู้ไม่ว่า ผลิตภัณฑ์ระดับโลกหลาย ๆ อย่างนั้นล้วนแล้วแต่ผลิตในเมืองนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้า apple หรือ samsung ก็อาจจะมีชิ้นส่วนที่ผลิตที่เมือง ๆ นี้ทั้งนั้น

เมืองนี้เป็นศูนย์กลางแห่ง Hardware ของโลก เราเรียกฝั่งอเมริกาแถบซานฟรานว่า Silicon valley of software   แต่สำหรับเซินเจิ้น นั้น ถือได้ว่าเป็น silicon valley of hardware เลยก็ว่าได้ ทุกคนสามารถหาชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิก แทบทุกอย่างในโลกนี้ได้จากเมือง ๆ นี้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีบทบาทต่ออุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยีต่อโลกของเราเป็นอย่างมาก

แต่จากการที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน ตอนนี้ เมืองเซินเจิ้นก็ถือได้ว่าเป็นเมืองที่พัฒนาได้สมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าเทียบความเจริญจาก ตึกรามบ้านช่อง หรือ การคมนาคม ขนส่ง ต้องบอกว่า ตอนนี้เซินเจิ้นได้ยกระดับเมือง ให้ขึ้นมาทัดเทียมกับเมืองใหญ่ ๆ ของโลกได้อย่างไม่น้อยหน้า จากเมืองที่เป็นทุ่งนาร้าง ว่างเปล่า ตอนนี้กลายเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของทั้งประเทศจีน รวมถึงของโลกของเราเลยก็อาจจะว่าได้

สำหรับหนังสือเล่มนี้ ผมได้มาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ผมชอบหนังสือแนวเรื่องเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตต่างแดนในหลาย ๆ เล่มของ salmon book ซึ่งเรียกว่าแทบจะเป็นแฟนพันธ์แท้เลยก็ว่าได้ เพราะทุกเล่มที่ได้อ่าน ก็จะได้มุมมองต่อเมืองต่าง ๆ ได้ซึมซับเอาแนวคิด วัฒนธรรม ของเมือง ๆ นั้นผ่านตัวหนังสือ เหมือนเราได้เข้าไปใช้ชีวิตในเมืองนั้นจริง ๆ เลยก็ว่าได้

สำหรับหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานของ ศิลา บัวเพชร ซึ่งเป็นสถาปนิก หนุุ่มที่ได้ไปใช้ชีวิตในเมืองเซินเจิ้น และได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับการทำงานของเขา ผ่านวิถีชีวิต รวมถึงวัฒนธรรมต่าง  ๆ ของเมือง เซินเจิ้น ทำให้เราสามารถเปิดโลกใหม่ของเมืองเซินเจิ้น ที่เราคิดว่าเป็นเมืองของแหล่ง copy ทำให้เปลี่ยนแนวคิดที่มีต่อเมืองนี้ใหม่ เซินเจิ้น ถือว่าเป็นเมืองที่มีบทบาทต่อการปฏิรูปประเทศของจีน เพราะเป็นเมืองแรก ๆ ที่ได้ทำให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ไทยเราก็กำลังดำเนินการเพื่อเลียนแบบเมืองเค้าเหมือนกัน

หนังสือบอกเล่าเรื่องราว การใช้ชีวิตกับบริษัทในต่างประเทศ การทำงานกับ เพื่อนร่วมงานที่มีหลากหลายสัญชาติ หลากหลายวัฒนธรรม การปรับตัวของผู้เขียนเพื่อให้สามารถใช้ชีวิต อยู่ในเมืองเซินเจิ้นได้  ต้องบอกว่าแม้ผู้เขียนจะไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน แต่ก็ต้องบอกว่า การถ่ายทอดแบบ คนทั่วไปที่ไปใช้ชีวิต การเล่าเรื่องแบบธรรมชาตินั้น ทำให้เราได้รับอรรถรสในการอ่านเป็นอย่างมาก ทำให้เราสามารถที่จะจินตนาการเข้าไปมีส่วนร่วมกับการใช้ชีวิตของเค้าเลยก็ว่าได้ ต้องบอกว่าเรื่องนี้มีการเล่าเรื่องได้สนุกมากๆ แม้จะเป็นประสบการณ์ไม่กี่ปีของผู้เขียนที่อยู่ที่นั่น แต่ก็ต้องบอกว่า ได้ถ่ายถอดเรื่องราวออกมาได้อย่างครบรส จึงแนะนำให้ผู้สนใจหามาอ่านเป็นอย่างยิ่ง รับรองจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

 

Movie Review : Only the Brave

Featured Video Play Icon

ต้องบอกตามตรงว่าไม่ได้ Feeling ที่อินกับหนังในโรงมานานแสนนานมากแล้ว เพราะส่วนใหญ่หนังที่ได้ดูในโรงจะเป็นหนังตลาดเท่านั้น ส่วนหนังดี ๆ บทดี ๆ ส่วนใหญ่ จะได้ดูผ่านทางช่องทางอื่นซะมากกว่า โดยเฉพาะพวกหนังรางวัลต่าง ๆ ที่แทบจะมีโอกาสดูในโรงหนังน้อยมาก ๆ

สำหรับเรื่อง Only the brave นั้น ผมก็ไม่เคยได้สนใจหนังเรื่องนี้มาก่อนเลยก็ว่าได้ ไม่ได้ข่าวคราวมาก่อน เข้าโรงไปโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร เป็นเรื่องที่ดูในโรงโดยที่ไม่มีข้อมูลมาก่อนเป็นเรื่องแรก ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะแฟนชวนไปดู กอรปกับ งานหนักในสัปดาห์นี้ยังไม่ได้พัก จึงอยาก Relax ด้วยการดูหนังจึงชวนแฟนไปดูเรื่องนี้

สำหรับ Only the brave นั้นเป็นผลงานการกำกับของ Joseph Kosinski ซึ่งผ่านงานที่เคยคุ้นเคยน่าจะเป็นเรื่อง Oblivion ซึ่งเป็นหนังเรื่องนึงที่ผมดูไม่จบเรื่อง เพราะยังไม่ถูกจริต กับหนังแนวนี้ซักเท่าไหร่  ส่วนนักแสดงนำนั้นได้นักแสดงมากความสามารถอย่าง Josh Brolin ที่มารับบทนำ Eric Marsh หัวหน้าหน่วยดับเพลิงไฟป่า รวมถึงขวัญใจของผมอย่าง Jennifer Connelly ซึ่ง ผมเพิ่งได้มีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง Dark Water ผ่านช่อง HBO ซึ่งติดใจการแสดงของเธอมาก ๆ และเป็นโอกาสดีที่ได้มาดูการแสดงอีกครั้งกับ only the brave ที่เธอรับบท Amanda Marsh แฟนสาวของ Eric Marsh

นักแสดงที่ผ่านบทวัยรุ่นมามากมายอย่าง Miles Teller นั้นต้องยอมรับว่าเค้าได้รับบทบาทมาหลากหลายในก่อนหน้านี้ เราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันได้ แต่สำหรับเรื่องนี้ที่ Teller มารับบท Brendan McDonough ใน only the brave นั้นต้องบอกว่าเป็นการพลิกบทบาทการแสดงอย่างสิ้นเชิง เค้าต้องมารับบท อดีตเด็กติดยา ที่ต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ หลังจากพบว่าตัวเองนั้น จะกลายเป็นพ่อคน ซึ่งต้องหันเหชีวิตที่หักมุมครั้งหนึ่งจากการใช้ชีวิต เป็นวัน ๆ กลายมาเป็นคนที่ต้องมากลายเป็นพ่อคน และต้องเริ่มทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูลูกน้อย

ยอมรับตรง ๆ ว่าไม่เคยรู้กับวิธีการ ดับไฟป่ามาก่อน ว่าต้องใช้วิธีไฟดับไฟ จนมาได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้ ทั้งนี้ไม่ใช่แค่บทบาทของการเป็นนักดับไฟป่าเท่านั้น ที่เป็นตัวดำเนินเรื่อง แต่เป็นภูมิหลังของตัวละครแต่ละคนต่างหาก ที่มาดำเนินเรื่องราว ให้หนังกลายเป็นหนัง Drama ที่เข้มข้นมาก โดยเฉพาะการแสดงของทั้งสามตัวหลักที่มีภูมิหลังของชีวิตที่แตกต่างกัน ซึ่งเหตุผลอีกอย่างที่ทำให้อิน กับหนังเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ก็น่าจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้มีการสร้างอ้างอิงมากจากเรื่องจริงของหน่วยดับไฟป่า ดังกล่าว

การที่หนังถ่ายทอดมาจากเรื่องจริง ก็ทำให้เราอินกับหนังเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งแม้ว่าบทบางอย่างอาจจะมีการเติมแต่งเข้าไปบ้าง แต่โดยรวมก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งต้องยอมรับว่าทำให้บีบหัวใจคนดูได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงท้ายของเรื่องที่ทุกอย่างมันบีบคั้นสุด ๆ ทำให้หลายคนในโรงมีน้ำตาไหล ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างชัดเจนจากผู้คนในโรง  ซึ่งยอมรับตามตรงว่าไม่ค่อยจากหนังเรื่องไหนที่เคยดูมาก่อน แม้จะเป็นที่ Drama มากมายเพียงใด แต่เรื่องนี้ต้องยอมรับว่ามันบีบด้วยปัจจัยหลายอย่างจริง ๆ รวมถึงการแสดงที่เข้าถึงบทได้อย่างยอดเยี่ยมของนักแสดงทุกคน ทำให้ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ประทับใจที่สุดในรอบปีนี้เลยก็ว่าได้

 

เก็บตกจากหนัง

  • นักแสดงทุกคนสวมบทบาทได้อย่างยอดเยียมมากจนคิดว่าเป็นคนนั้นจริง ๆ
  • เป็นหนังที่ถ่ายทอดมากจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
  • เราจะไม่ค่อยเห็นบทบาทแบบนี้กับนักแสดงอย่าง Miles Teller
  • ช่วงท้ายของหนังต้องยอมรับว่าบีบคั้นหัวใจมากที่สุดเรื่องนึงเลยทีเดียว

คะแนน

9.5/10


สรุป
“เป็นหนังที่จะทำให้คุณเสียน้ำตา”

Movie Review : Thor Ragnarok

Featured Video Play Icon

Review

ถามว่า Heroes เรื่องไหนของ Marvell ที่ชอบน้อยสุดก็คงเป็น Thor นี่แหละ แม้ Thor จะมีภาคแยกออกมา แต่ก็ไม่ประทับใจมาตั้งแต่ภาคแรก ที่ออกมาแล้ว แต่การที่เราเป็นแฟนหนัง Marvell ในยุคนี้นั้น การไม่ติดตามเรื่องใด เรื่องนึง ค่อนข้างลำบาก เพราะมีเนื้อเรื่องไขว้กันไป ไขว้กันมา และมีการดำเนินเรื่องต่อเนื่องกับหนังแยกตาม heroes ต่างๆ  อยู่โดยตลอด

ซึ่งการจะดูภาครวมอย่าง Avenger นั้น ก็ต้องดูที่มาที่ไปจากภาคเนื้อเรื่องหลักของแต่ละ Heroes ด้วย ไม่เช่นนั้น เราก็จะไม่เข้าใจในบางมุก หรือ เนื้อเรื่องในบางจุดที่ทำให้เรางงได้ ๆ ซึ่งจุดนี้ ก็ถือเป็นการสร้างการตลาดอย่างนึงของ Marvell ในช่วงหลัง ๆ ให้แฟนคอยติดตามในทุก ๆ เรื่อง

สำหรับผู้กำกับในภาคนี้อย่าง Taika Waititi นั้น ถือว่าเป็นการเดิมพันที่แปลกทีเดียวสำหรับ Marvell เพราะ เค้าเคยกำกับหนัง Heroes แค่เรื่องเดียว และเป็นของคู่แข่งอย่าง DC กับเรื่อง Green Lantern ซึ่งก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายนักกับหนังเรื่องดังกล่าว

สำหรับเนื้อเรื่องนั้นต้องบอกว่าฉีกแนวจากหนัง Heroes เดิม ๆ ไปซะหมดสิ้นเลยทีเดียว สำหรับ Thor Ragnarok ซึ่งหนังพยายามใส่มุกตลก มาตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่ามีแทบจะทุกฉาก มีฮาบ้าง แป๊กบ้างผสมกันไป ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้พยายามที่จะตลกเกินพอดีไป ทำให้ภาพลักษณ์เก่า ๆ ของ Heroes อย่าง Thor เสียหายหมด รวมถึง Loki ที่ต้องยอมรับว่า ภาพจากหนังเรื่อง Avenger กับ Thor Ragnarok แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หนังพยายามกัด Loki แทบตลอดทั้งเรื่อง ก็ต้องถือว่าน่าสงสารที่สุดสำหรับ Loki ในภาคนี้

ถามว่าดูแล้วสนุกมั๊ยกับ Thor Ragnarok นั้นโดยส่วนตัวต้องบอกว่าผิดหวังมาก บางคนอาจจะชอบแนวนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้วนั้นหนังได้ทำลายความเป็น Heroes ของ Marvell ลงไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะมีฉาก action มาผสมอยู่บ้างตามแบบฉบับ แต่การที่มีมุกตลก มามากเกินไปนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีกับ Heroes ของ Marvell เลยซักนิด ทำให้เกิดภาพลบต่อตัว Heroes มากกว่า ซึ่งต้องบอกว่าหากมีภาค Avenger ใหม่แล้วนั้นอาจจะทำให้คนดูสับสนในตัวละครได้ เพราะเรื่องนี้ได้ทำให้ตัวละครฉีกไปจากภาพลักษณ์เก่า ๆ มากเกินไป ซึ่งเป็นการทำให้เสียของโดยเปล่าประโยชน์มากกว่า

เก็บตกจากหนัง

  • มุกตลกที่มีในเรื่อง มีมากเกินพอดีไป
  • Loki กลายเป็นคนละคนกับ Avenger
  • เอาจริง ๆ เนื้อเรื่องก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล โดยเฉพาะในตอนจบของเรื่อง

ระดับความมันส์

6/10

 

สรุป
“เป็นหนังที่มีมุกตลกเฟ้อจนเกินไป”