ความน่ากลัวของ Google AI

เป็นข่าวใหญ่ในช่วงสัปดาห์เลยทีเดียวสำหรับการแข่งขันเกมส์โกะ ระหว่างมนุษย์ กับ AI ของ Google โดยมีการนำแชมป์โลกโกะอย่าง Lee Sedol โดยในสามเกมส์แรก Alpha go ซึ่งเป็น AI จาก Google ที่พัฒนาโดยบริษัท Deepmind ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ google สามารถเอาชนะไปได้ และล่าสุด Lee Sedol เพิ่งจะกลับมาชนะได้เป็นเกมส์แรกในเกมส์ที่ 4 หลังจากพ่ายแพ้ไปใน 3 เกมส์แรก

เทคโนโลยีด้าน AI นั้นได้พัฒนามาในระดับที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ อย่างการเล่นเกมส์ที่มีความซับซ้อน และเง่ื่อนไขการเล่นที่มีความน่าจะเป็นจำนวนมากอย่างเกมส์โกะได้ ถือว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา โดยในปัจจุบันนั้นมีการวิจัยค้นคว้าทั้งทางด้าน Machine Learning รวมไปถึง Neural Network ที่พัฒนาไปไกลมาก แทนที่จะเก็บความน่าจะเป็นทั้งหมด แล้วให้ AI ค้นหาทางเลือกที่ดีที่สุด ก็มีการพัฒนาให้มีการเรียนรู้เองแบบมนุษย์ทำให้ความสามารถของ AI เพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมากสามารถใช้ในการ Solve ปัญหาที่ยาก ๆ ได้หลาย ๆ ปัญหา

สำหรับ Alpha Go นั้นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ของ AI ที่มนุษย์ทุกคนต้องตระหนักถึงเลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงก้าวกระโดดของการพัฒนา AI ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนต้องหันมาจับตามอง เพราะมันจะมีผลกระทบต่อชีวิตของคนเรามากเป็นอย่างยิ่งในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

ทำไมเราถึงต้องกลัว?  การที่ google ยอมลงทุนงานวิจัยด้าน AI ในระดับมูลค่ามหาศาลผ่านการรวมตัวของ นักวิทยาศาสตร์ และ programmer กว่า 100 ชีวิตใน Deepmind นั้นถือว่าเป็นการมองถึงอนาคตที่ยิ่งใหญ่ของ google หากมีเครื่องมีที่สามารถ solve ปัญหายาก  ๆได้ทุกปัญหาผ่านการใช้ AI เช่น  การ trade หุ้น หากมีเครื่องมีที่สามารถชนะกลไก ของตลาดหุ้นโดยมีเป้าหมายที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด โดยใช้ AI ในการ trade ซึ่งก็มองว่าเป็นเครื่องจักรทำเงินของ google ได้เลยทีเดียว รวมถึงด้านแขนงอื่น ๆ อย่างด้านการแพทย์ หากนำ AI ไปแก้ปัญหายาก  ๆ อย่างการรักษาโรคมะเร็ง หรือ ผลิตยารักษาโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ในปัจจุบันเพราะบางปัญหานั้น มนุษย์เรายังไม่สามารถ solve ปัญหาได้ แต่มันไม่ใช่ปัญหาของ AI  แต่อย่างใด รวมถึงปัญหาที่เราสงสัยกันมานานอย่างเรื่องการเกิดของระบบจักรวาล ที่แท้จริงแล้วมีที่มาอย่างไร หรือการนำไปใช้ในการทหารผ่านหุ่นยนต์รบต่าง ๆ หรือระบบขับเคลื่อนอาศยานแบบอัตโนมัติ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ใช้ AI มาแก้ปัญหาได้ทั้งสิ้น

และแน่นอนทุกอย่างก็จะมีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์เราทุกคนในอนาคตอย่างแน่นอน หาก google มีเครื่องมือเหล่านี้อยู่ในมือก็สามารถสร้างประโยชน์ได้มหาศาลจากเครื่องมือดังกล่าวทั้งในด้านบวกและด้านลบ และ google ก็จะคืบคลานเข้าสู่เทคโนโลยีด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราโดยผ่านเครื่องมือด้าน AI ที่มีอยู่ในมือ และนี่คงไม่เป็นการมองที่เว่อร์เกินไป เพราะ ณขณะนี้ AI มันเริ่มเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้นจริง ๆ

Img Ref : adminspoint.com

Movie Review : London Has Fallen

Review
เอาตรง  ๆ ก็ถือว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้หนังของ Gerard Butler ชอบการแสดงของแกมากจากผลงานที่ผ่านมาหลาย ๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องล่าสุดนี้อย่าง London Has Fallen ที่เป็นหนังภาคต่อที่ทำผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยมในภาคแรกอย่าง Olympus Has Fallen

สำหรับเรื่องนี้กำกับโดย Babak Najafi เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวผู้กำกับจากภาคแรกที่กำกับโดย Antoine Fuqua ที่ทำผลงานภาคแรกออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม กับนักแสดงนำชุดเดิมทั้ง Gerard Butler , Aaron Eckhart และดารารุ่นใหญ่มากความสามารถอย่าง Morgan Freeman

จะว่าไปหนังภาคนี้ ก็ไม่เชิงว่าเป็นหนังภาคต่อจากภาคเก่าแต่อย่างใดไม่ได้มีเนื้อเรื่องหลักใด ๆ ที่ต่อเชื่อมกัน สามารถข้ามมาดูภาค London ได้โดยไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกมาก่อน ก็สามารถดูรู้เรื่อง แต่แนวของหนังก็เหมือนเดิม Action บ้าระห่ำ ตามสไตล์เดิม โดยเรื่องนี้ยกไปถ่ายทำกับที่ London ตามชื่อเรื่อง  สำหรับแฟนหนัง Action ก็คงไม่เสียใจกับผลงาน Lodon Has Fallen ในภาคนี้ แต่เมื่อมีการนำไปเปรียบเทียบกับภาคแรกนั้น ผมมองว่าหนัง Drop ลงไปพอสมควร โดยส่วนตัวชอบภาคแรกมากกว่ารู้สึกมันกว่า ในตอนนั้นซึ่งเป็นหนังในแนวที่อเมริกาถูกถล่มได้น่าสนใจคือ ไปถล่มกันที่เมืองหลวงอย่าง วอชิงตัน ดีซี และเป็นการถล่มศูนย์กลางการบริหารประเทศอย่างทำเนียบขาว ซึ่ง ยังไม่ค่อยมีหนังเรื่องไหนทำมาก่อน  แต่สำหรับภาคนี้นั้น ต่างกันที่ไปถล่มกันที่ลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ โดยการดำเนินเรื่องก็แทบไม่ต่างจากเดิม ก็ถือว่าเดาบทจบของหนังได้อย่างไม่ยากเย็น แต่สำหรับแฟนคอหนัง Action ที่ดูแบบไม่ค่อยคิดอะไร เน้นความมันส์อย่างเดียวก็ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้ คุณจะได้พบกับฉาก Action มันส์ ๆ การถล่มเมืองแบบที่คุณเคยเจอใน Olympus Has Fallen อย่างแน่นอน

เก็บตกจากหนัง

  • มีความไม่สมเหตุสมผลบางอย่างที่สามารถยึดลอนดอนได้ง่ายเกินไป
  • เป็นหนังแนว Action แบบที่ไม่ต้องคิดอะไรมากมายสามารถดูด้วยความบันเทิงจนจบเรื่องได้

คะแนน

8/10


สรุป
“แฟนภาคแรกไม่ควรพลาดติดตามภาคนี้”

Movie Review : Spotlight


Review

เข้าสู่เทศกาลหนังรางวัลออสการ์ประจำปี 2016  ก็ขอแสดงความยินดีกับ Spotlight ที่ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดไปครองตามความคาดหมาย

สำหรับหนัง Spotlight นั้นกำกับโดย Tom Mccarthy ซึ่งเป็นนักแสดงที่ผ่านผลงานมากมายในอดีต รวมถึงการหันเหมาเป็นผู้กำกับในช่วงหลัง ส่วนนักแสดงนำนั้น ก็มีหนึ่งในขวัญใจของผมอย่าง Mark Ruffalo ซึ่งก็อยากให้พี่แกได้รับรางวัลออสการ์เสียที แต่เสียดายรอบนี้ไม่ได้ไป รวมไปถึง Michael Keaton ที่ฝากผลงานที่น่าจดจำอย่าง Birdman ในปีที่แล้วที่ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครอง ส่วนดารานำอีกคนคือ สาวน้อยมากความสามารถอย่าง Rachel Mcadams

สำหรับหนังเรื่อง Spotlight นั้นเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของทีมข่าวสืบสวนแห่งเมือง Boston ในนาม ทีม Spotlight ซึ่งมีชื่อเสียงในการสืบสวนสอบสวนเรื่องราว ๆ ต่าง ๆ แล้วมาตีแผ่เรื่องราวผ่านตัวอักษรในหนังสือพิมพ์ Boston Globe ซึ่งเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึงในเมือง Boston แต่ในครั้งนี้ทีมได้เปิดประเด็นเรื่องราวการกระทำชำเราเด็กของคริสศาสนจักร ซึ่งเป็นประเด็นที่อ่อนไหวต่อเมือง Boston เป็นอย่างมาก โดยต้องสู้รบกับ อำนาจแห่งศรัทธาของปวงชน ที่รู้ทั้งรู้ว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าว แต่เลือกที่จะเงียบไว้ไม่ให้ ชื่อเสียงของศาสนจักรเสื่อมเสีย รวมถึงการต่อสู้กับกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ที่ต้องการให้เรื่องเหล่านี้ไม่แพร่งพรายออกสู่สาธารณชน

สำหรับการแสดงนั้นส่วนตัวชอบการแสดงบทบาทของ Mark Ruffalo ในเรื่องนี้ที่สวมบทบาทได้อย่างลงตัวกับบทนักข่าวที่เป็นทีมสืบสวนสอบสวน โดยทั้งการแสดงสีหน้า ท่าทาง รวมถึงนิสัยต่าง ๆ ในเรื่องนี้ สามารถถ่ายทอดความเป็นนักข่าวได้อย่างสมจริงเป็นอย่างมาก ทำให้อินกับบทบาทการแสดงของเขาเป็นอย่างยิ่ง โดยเมื่อรวมกับ Micheal Keaton แล้ว ถือว่าเป็นการวางตัวแสดงที่ลงตัวอย่างมากสำหรับเรื่อง Spotlight

โดยภาพรวมนั้นหนังเลือกที่จะถ่ายทอดเรื่องราว โดยเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในช่วง ทศวรรษที่ 80 เป็นต้นมาที่พบพระในคริสศาสนจักร จำนวนมากที่มีพฤติกรรมดังกล่าว โดยเฉพาะส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมือง boston ประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นใหญ่มากในอเมริกาในช่วงนั้น ซึ่งเป็นการท้าทายอำนาจโดยตรงต่อศาสนจักรที่ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ซึ่งก็น่าจะเหมือน ๆ กับในศาสนาอื่นๆ  ที่ก็คงมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าที่จะมาเล่นโดยตรงเนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อศรัทธาของผู้ที่นับถือ ซึ่งจะมีผลวงกว้างต่อสังคม หากสถาบันหลักของชาติ มีปัญหาในทำนองนี้

เก็บตกจากหนัง

  • หนังเล่นเรื่องที่เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างการประพฤติผิดในกามของพระ
  • ถ่ายทอดจากเรื่องจริงทั้งหมด
  • Mark Ruffalo สามารถถ่ายทอดการเป็นนักข่าวได้อย่างสมจริง

คะแนน

9/10


สรุป
“หนังยอดเยี่ยมออสการ์ คงไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่าการได้ดูด้วยตาตัวเอง”

Book Review : Don’t Worry Be Daddy

ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้อ่านหนังสือแนวนี้ แต่บังเอิญ ไปอ่านตัวอย่างของหนังสือบางส่วนจาก web  minimore.com  ซึ่งเป็นผลงานของ คุณ Vichai Matakul  ( เสียตังค์หลายเล่มแล้วหลังจากไปอ่านตัวอย่างจาก web นี้)  ซึ่งก็ถือว่าเป็นแนวที่น่าสนใจ ก็เลยได้ซื้อฉบับเต็มมาอ่าน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง

ถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนกลุ่มไหน ก็ต้องตอบว่าเหมาะสำหรับพ่อบ้านมือใหม่ ที่เพิ่งจะมีลูก น่าจะอ่านแล้วอินกับหนังสือเล่มนี้ได้อย่างดี อ่านไปอ่านมาก็ทำให้อยากจะมีลูกเหมือนกัน หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องการเลี้ยงลูกมาในมุมที่สนุก แตกต่างจากหนังสือคู่มือพ่อแม่มือใหม่ทั่วไป  ก็ถือว่าการมีลูกนั้นถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญอีกอย่างของการเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คิดว่าคนที่มีลูกน่าจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างดี รวมถึงการที่ได้ฟังจังเพื่อน ๆ ที่มีลูก ก็ค่อนข้างพูดไปในทางเดียวกัน มีลูกมักจะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ออกมาได้อย่างมีอรรถรส และจะไม่ทำให้พ่อแม่มือใหม่ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ผิดหวังอย่างแน่นอนครับ

Img Ref : minimore.com

เข้าสู่วงโคจรเดิม

เพิ่งเขียนใน blog ล่าสุดเกี่ยวกับอาเซน่อลไปหมาด ๆ สำหรับการเข้าสู่การลุ้นแชมป์เต็มตัวในช่วงวันวาเลนไทน์ ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาที่หอมหวานอย่างยิ่งสำหรับกองเชียร์อาเซน่อลในปีนี้

แต่เพียงแค่ไม่ถึงเดือนผ่านพ้นไป สถานการณ์ของทีมได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที จากการพ่ายแพ้ 3 นัดรวดในทุกรายการตั้งแต่ แพ้ บาเซโลน่า ตามด้วยแพ้ทีม U21 ของ แมนยู และแมตช์ที่เจ็บปวดรวดร้าวสำหรับแฟน ๆ ทีมอาเซน่อลมากที่สุดเห็นจะเป็นการพ่ายแพ้ต่อทีมอย่าง สวอนซี คาบ้านตัวเอง จากการลุ้นแชมป์ตามหลังทีมนำอย่าง เลสเตอร์เพียง 2 แต้ม กลับกลายมาเป็นตามถึง 8 แต้มเมื่อสิ้นสุดนัดที่ 29

ตอนนี้ทำไปทำมาสถานการณ์ของทีมจากทีมลุ้นแชมป์กลายมาเป็นทีมต้องลุ้นอันดับ 4 แทนแล้ว เมื่อแมนยูที่อยู่ดี ๆ ก็ฟอร์มดีขึ้นมาชนะหลาย ๆ นัดติดกัน มีโอกาสที่จะไล่จี้เข้ามาใกล้เต็มที่เพื่อลุ้นแย่ง อันดับ แชมเปี้ยนลีค ไม่ต้องพูดถึงการเข้ารอบต่อไปใน แชมเปี้ยนลีค การพ่ายแพ้คาบ้าน 0-2 ต่อบาเซโลน่า ก็คงไม่ต้องพูดถึงการเข้ารอบต่อไปแทบจะ 100% แล้ว ถ้าสังเกตดีๆ  วงโคจรนี้ จะมีมาแทบทุกปีในช่วงหลัง ๆ ในช่วงเดือนนี้ เริ่มจากตกรอบแชมเปี้ยนลีก และ ฟอร์มจะหลุดต่อเนื่องในลีคจนหมดลุ้นแชมป์ในช่วงนี้  แต่ก็จะประคองทีมในช่วงปลายฤดูกาลจนสามารถคว้าโควต้าแชมเปี้ยนลีคไปได้อีกตามเคย

ก็คงเป็นวังวนเดิม ๆ สำหรับแฟน ๆ อาเซน่อล ที่คิดว่าปีนี้น่าจะเปลี่ยนเป็นทีมที่ได้แชมป์กะเขาซักที หลังจากรอคอยมากว่า 12 ปีนับจากการคว้าแชมป์ครั้งสุดท้ายในปี 2004 ปีนี้เป็นปีที่มีลุ้นแทบจะมากที่สุดแล้ว ทีมอื่น ๆ ล้วนสะดุดกันหมด แต่จนแล้วจนรอด สถานการณ์ก็ไม่ต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มา การที่ได้เห็นทีมอย่าเลสเตอร์ กำลังนำเป็นจ่าฝูง โดยที่ทีมเรามีความพร้อมมากกว่าในขณะนี้ ถือเป็นภาพที่เจ็บปวดสำหรับแฟนอาเซน่อลทุกคน หลังจากปีนี้ คงเป็นปีที่ลุ้นยากขึ้นเรื่อย ๆ  เนื่องจากการมาของ โครต โค้ชอย่าง เป๊ป ที่จะมาคุมทีมแมนซิตี้ ในปีหน้า ก็คงใส่เต็มที่แน่ๆ  สำหรับปีหน้า ไหนจะลิเวอร์ที่ได้เจอร์เก้น คล็อป น่าจะปีนป่ายขึ้นมาได้ในปีหน้า หรือ แม้แต่เชลซีที่ยังไม่มีผู้จัดการทีมที่ชัดเจน แต่คาดว่าคงต้องเป็น big name แน่ ๆ  เสี่ยหมีคงจะลุยเต็มที่เหมือนกัน

มามองถึงทีมตัวเองแม้สถานการณ์ทางการเงินของทีมเราจะสุดยอดแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อมันไม่มี Trophy แชมป์ลีคมาให้แฟน ๆ ชื่นชมซักที เชื่อว่ากระแสการกดดันใน อาเซน เวนเกอร์ ลาออกคงมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน ถึงแม้เขาจะทำผลงานได้ดีถ้าหากมองในเรื่องผลกำไร แต่ไม่ใช่สำหรับแฟน ๆ ทีมอาเซน่อลอย่างแน่นอน